CIO Insights: คว้าโอกาสในหุ้นสหรัฐผ่าน Framework ‘FAT’

10 February 2025
Stephanie Leung
Group CIO

แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ

เมื่อมองย้อนกลับไปในปี 2024 ตลาดหุ้นสหรัฐเป็นตลาดที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในบรรดาตลาดหลักทั่วโลก โดยดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 25% ในขณะที่ตลาดหุ้นโลก (ยกเว้นสหรัฐ) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่น่าประทับใจนี้มีความแตกต่างมากมายอยู่เบื้องหลัง โดยหุ้นกลุ่ม Big Tech ยังคงเป็นผู้นำตลาด ส่วนกลุ่มธุรกิจอื่นๆ มีผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างหลากหลาย

CIO Insights เดือนนี้ จึงอยากเจาะลึกหุ้นในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ของสหรัฐ โดยใช้ Framework ‘FAT’ ของเรา เพื่อสำรวจว่านโยบายการคลัง (Fiscal Policy) การนำ AI มาใช้ (AI Adoption) และนโยบายของ Donald Trump (Trump’s Agenda) จะส่งผลต่อผลการดำเนินงานของหุ้นสหรัฐในปีนี้อย่างไร?

3 Key takeaways:

  • ในปี 2024 ความแตกต่างของผลการดำเนินงานในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ของสหรัฐ ส่วนใหญ่มาจากการเติบโตของกำไรที่แตกต่างกัน แม้นักลงทุนจำนวนมากจะมองว่า Valuation ที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นปัจจัยขับเคลื่อนผลตอบแทนของหุ้นสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว แต่การเติบโตของกำไรก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน โดยกำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 เติบโตขึ้น 9.5% สิ่งนี้ถูกสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนในราคาหุ้นของกลุ่มธุรกิจต่างๆ โดยกลุ่มที่มีกำไรต่อหุ้น (EPS) สูงกว่า ราคาหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้นสูงกว่า

  • ในปี 2025 การคาดการณ์กำไรและ Valuation เผยให้เห็นโอกาสและความเสี่ยงในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ของสหรัฐ ตลาดคาดการณ์ว่า ปีนี้จะยังคงเป็นปีที่ดีสำหรับหุ้นสหรัฐ โดยการเติบโตส่วนใหญ่อาจได้รับแรงขับเคลื่อนจากกลุ่มธุรกิจเพียงไม่กี่กลุ่ม เช่น IT และ Healthcare ซึ่งหากเจาะลึกลงไป การเปรียบเทียบ Valuation กับคาดการณ์การเติบโตของกำไรในแต่ละกลุ่มธุรกิจ จะช่วยให้เราเห็นว่ากลุ่มธุรกิจใดมีราคาต่ำหรือสูงเกินไป

  • Framework ‘FAT’ ของเรา ชี้ให้เห็นโอกาสและความเสี่ยงในกลุ่มธุรกิจต่างๆ Macro Trend อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่างๆ โดยการวิเคราะห์ด้วย Framework ‘FAT’ พบว่านโยบายการคลังแบบขยายตัว การนำ AI มาใช้อย่างกว้างขวาง และการกลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐอีกครั้งของ Trump อาจเป็นแรงหนุนให้หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและกลุ่มการเงิน แต่ก็อาจสร้างแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 

ในปี 2024 ราคาหุ้นที่แตกต่างกันในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ของสหรัฐ ส่วนใหญ่เกิดจากการเติบโตของกำไรที่แตกต่างกัน

ก่อนที่จะมองไปถึงปี 2025 เรามาทบทวนผลการดำเนินงานของตลาดหุ้นสหรัฐในปี 2024 กันก่อน โดยตลอดปีที่ผ่านมา นักลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจกับประเด็นที่ว่าหุ้นสหรัฐมีมูลค่าสูงเกินไป โดยเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed และ Sentiment ที่ดีขึ้นของนักลงทุน ช่วยผลักดันให้ค่า P/E ของดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นจาก 19.7 เท่าเมื่อต้นปี 2024 มาอยู่ที่ 21.7 เท่า ณ สิ้นปี 2024

แต่หากเจาะลึกลงไปในรายละเอียดจะพบว่าแต่ละกลุ่มธุรกิจมีผลการดำเนินงานที่แตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของกำไร โดยกลุ่มที่มีการเติบโตของกำไรสูงกว่ามักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ตามที่เห็นในกราฟที่ 1 โดยในมุมขวาบนของกราฟ จะเห็นว่ากลุ่ม Communication Services มีการเติบโตของกำไรสูงสุด (21.7%) และราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด (38.9%) ขณะที่มุมซ้ายล่าง กลุ่มวัสดุมีกำไรลดลง (-9.5%) ราคาหุ้นจึงปรับตัวลดลงเช่นกัน (-1.8%)

Takeaway: ผลการดำเนินงานของแต่ละกลุ่มธุรกิจมักขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก โดยความแตกต่างของการเติบโตของกำไรเป็นตัวอธิบายความแตกต่างของผลตอบแทนในแต่ละกลุ่มธุรกิจได้อย่างชัดเจน ซึ่งสำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเชิงเทคนิคสามารถดูได้จากค่า R2 หรือค่าที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรหนึ่ง (การเปลี่ยนแปลงของราคา) กับอีกตัวแปรหนึ่ง (การเติบโตของกำไร) ซึ่งอยู่ที่ 73%

(คุณสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของตลาดและพอร์ตของเราในปี 2024 ได้ที่ สรุปผลการดำเนินงานปี 2024 ของ StashAway)

Valuation และความคาดหวังกำไรในแต่ละกลุ่มธุรกิจ เผยให้เห็นโอกาสและความเสี่ยงในปี 2025

สำหรับปี 2025 ตลาดคาดการณ์ว่า ปีนี้จะยังเป็นที่ดีสำหรับหุ้นสหรัฐ โดย FactSet ประเมินว่า กำไรของดัชนี S&P 500 จะเติบโต 15% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการคาดการณ์กำไรที่แข็งแกร่งในบางกลุ่มธุรกิจ เช่น IT (23%) Healthcare (20%) และอุตสาหกรรม (19%)

ทั้งนี้ การพิจารณา Valuation ในแต่ละกลุ่มธุรกิจจะช่วยให้นักลงทุนเห็นโอกาสและความเสี่ยงได้ดีขึ้น (ดูกราฟ 2a ด้านล่าง) โดยกราฟนี้จะแบ่งกลุ่มธุรกิจต่างๆ ออกเป็น 4 ประเภทหลัก พิจารณาจากค่า Forward P/E และการเติบโตของกำไรเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม

การวิเคราะห์นี้เผยให้เห็นโอกาสในกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรสูง แต่มีการประเมินมูลค่าต่ำกว่าดัชนี S&P 500 โดยรวม (กลุ่ม ‘Under-priced Growth’ มุมซ้ายบนของกราฟ) เช่น กลุ่ม Communication Services, Healthcare และวัสดุ เนื่องจากศักยภาพการเติบโตของกลุ่มธุรกิจเหล่านี้อาจยังไม่ได้ถูกสะท้อนในราคาหุ้นอย่างเต็มที่ ซึ่งหากกลุ่มธุรกิจเหล่านี้สามารถเติบโตได้ตามคาด นักลงทุนจะได้รับประโยชน์ทั้งจากการเติบโตของกำไร และการที่ตลาดปรับ Valuation ให้สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน (Valuation Re-rating) 

ในทางกลับกัน กลุ่มที่มี Valuation สูงกว่า แต่แนวโน้มการเติบโตของกำไรต่ำกว่า (กลุ่ม ‘Low Growth, High Expectations’ มุมขวาล่างของกราฟ) อาจเผชิญความเสี่ยงมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขาไม่สามารถทำได้ตามความคาดหวังของตลาด

Framework ‘FAT’ ของเรา ชี้ให้เห็นโอกาส Surprise ในบางกลุ่มธุรกิจ

นักวิเคราะห์จำนวนมากมักใช้วิธีการวิเคราะห์แบบ ‘Bottom-up’ ในการคาดการณ์กำไร ซึ่งหมายถึงการตรวจสอบข้อมูลของบริษัทอย่างละเอียดและวิเคราะห์แนวโน้มของอุตสาหกรรมที่อาจส่งผลต่อรายได้และ Margin กำไรของบริษัทในไตรมาสต่อๆ ไป อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของ Macro Trend มักส่งผลต่อความแม่นยำของการคาดการณ์เหล่านี้ ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ซึ่งช่วยให้กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์สามารถทำกำไรได้ดีกว่าคาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ใน 2025 Macro Outlook: ‘FAT’ คือ New Normal เราได้อธิบายถึง 3 ปัจจัยสำคัญที่จะมีบทบาทในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและตลาดในระยะข้างหน้า ได้แก่

  • Fiscal Policy หรือนโยบายการคลังที่จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นต่อวัฏจักรเศรษฐกิจ
  • AI ที่จะถูกใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น
  • Trump’s Policy หรือนโยบายต่างๆ ของ Trump ซึ่งมีตั้งแต่การลดภาษีในประเทศไปจนถึงการเพิ่มภาษีนำเข้า

เมื่ออิงตาม Framework ‘FAT’ ของเรา ตารางที่ 1 ด้านล่างจะแสดงให้เห็นถึงโอกาสและความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อกำไรของกลุ่มธุรกิจต่างๆ ในสหรัฐ ซึ่งเราจะให้คะแนนแต่ละกลุ่มธุรกิจตาม 3 ปัจจัยของ ‘FAT’ โดยผลกระทบในเชิงบวกจะถูก Highlight เป็นสีเขียว ขณะที่ผลกระทบในเชิงลบจะถูก Highlight เป็นสีแดง

(ตารางแบบละเอียดสามารถดูได้ในภาคผนวกท้ายบทความนี้)

นอกจากนี้ เรายังสามารถนำ Rating เหล่านี้มา Plot ลงบนกราฟ Valuation ก่อนหน้า ตามที่เห็นในกราฟ 2b ด้านล่าง

กลุ่มเทคโนโลยีและการเงินมีโอกาสสูงสุดสำหรับ Surprise ในเชิงบวก

ในแง่ผลกระทบเชิงบวก เราประเมินว่ากลุ่มเทคโนโลยี เช่น Communication Services และ IT รวมถึงกลุ่มการเงิน มีศักยภาพสูงสุดที่จะทำกำไรได้ดี ตามปัจจัยดังต่อไปนี้

  • สำหรับกลุ่มธุรกิจ Communication Services และ IT อัตราดอกเบี้ยระดับสูงที่ยังคง ‘Higher for Longer’ อาจเป็นผลดีสำหรับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เนื่องจากพวกเขามีเงินสดจำนวนมหาศาลและมีหนี้สินในระดับต่ำ ส่วนความก้าวหน้าของ AI เป็นอีกปัจจัยสนับสนุนที่แข็งแกร่ง โดยในกราฟที่ 3 ด้านล่าง แสดงให้เห็นการวิเคราะห์ของ Moody's ที่ประเมินว่า การนำเทคโนโลยีมาใช้สามารถส่งผลเชิงบวกต่อคุณภาพเครดิต ซึ่งในท้ายที่สุด ก็จะสะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้นของบริษัทเหล่านี้ นอกจากนี้ นโยบายลดกฎระเบียบต่างๆ ของ Trump อาจกระตุ้นให้เกิดการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (M&A) รวมถึงการเติบโตในกลุ่มธุรกิจนี้ด้วย
  • สำหรับกลุ่มธุรกิจการเงิน นโยบายการคลังแบบขยายตัวมากขึ้น อาจทำให้มีการขยายตัวของสินเชื่อ และอาจทำให้เส้น Yield Curve ชันขึ้น ซึ่งทั้งคู่ล้วนเป็นปัจจัยบวกต่อรายได้และ Margin กำไรของธนาคาร ส่วนการเร่งนำ AI มาใช้ในภาคธนาคารอย่างรวดเร็ว รวมถึงนโยบายลดภาษีและลดกฎระเบียบของ Trump จะเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มธุรกิจนี้เช่นกัน และเมื่อพิจารณาการคาดการณ์การเติบโตของกำไรและ Valuation ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนี S&P 500 ปัจจัยเหล่านี้ก็อาจช่วยให้กลุ่มการเงินมีผลตอบแทนสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ได้

กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อาจเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น

สำหรับผลกระทบเชิงลบ Framework ‘FAT’ ของเรา พบว่า มีความเสี่ยงสำหรับกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ดังนี้

  • สำหรับกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อในระดับสูง จะส่งผลกระทบในทางลบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค และอาจสร้างแรงกดดันต่อ Margin กำไรของกลุ่มธุรกิจนี้ ซึ่งโดยปกติจะค่อนข้างบางอยู่แล้ว นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากนโยบายเพิ่มภาษีนำเข้าและนโยบายควบคุมผู้อพยพที่เข้มงวด ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อ Margin กำไรเช่นกัน เนื่องจากปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ Valuation ในปัจจุบันได้สะท้อนความคาดหวังกำไรที่ลดลงแล้ว แต่ยังคงใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นสัญญาณว่าราคาหุ้นในกลุ่มธุรกิจนี้มีโอกาสปรับตัวลง หากมีการปรับ Valuation ลง
  • สำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อัตราดอกเบี้ยในระดับสูง อาจทำให้ Demand และ Valuation ลดลง โดยกลุ่ม REITs ต้องเผชิญกับต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร อย่างไรก็ตาม การลดภาษีอาจช่วยลดผลกระทบบางส่วนได้ ขณะที่ แนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ต่ำกว่าของกลุ่มธุรกิจนี้ได้สะท้อนในราคาปัจจุบันแล้ว

ทำความเข้าใจ ‘FAT’ เพื่อคว้าโอกาสเติบโตในปีนี้

ปัจจัยที่ขับเคลื่อนโลกการลงทุนอย่างแท้จริงมักซ่อนอยู่ในข่าวพาดหัว แม้ตลาดโดยรวมจะแสดงให้เห็นภาพที่เป็นประโยชน์แก่นักลงทุน แต่หากเราเจาะลึกลงไป ก็จะพบภาพที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มธุรกิจ และการวิเคราะห์ว่า Macro Trend จะส่งผลต่อแต่ละกลุ่มธุรกิจอย่างไร ก็อาจช่วยให้เราสามารถคว้าโอกาสที่รออยู่ในปี 2025 ได้

ทั้งนี้ พอร์ต General Investing ของ StashAway ถูกออกแบบมาเพื่อให้คว้าโอกาสเติบโตในกลุ่มธุรกิจสำคัญผ่านการกระจายการลงทุนที่ดีอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เทคโนโลยีการลงทุน Economic Regime Asset Allocation หรือ ERAA™ ของเรา ยังมีการปรับ Asset Allocation ในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ของสหรัฐ ให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจแบบปัจจุบัน เช่น การให้น้ำหนักกับกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม ซึ่งมักมีผลการดำเนินงานที่ดีในภาวะเศรษฐกิจแบบ ‘Inflationary Growth’ หรือการที่เศรษฐกิจเติบโตได้ดี แต่เงินเฟ้อสูงยังยืดเยื้อ 

นอกจากนี้ Flexible Portfolio ของเรายังเปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึง ETF กว่า 70 ตัว รวมถึงกลุ่มธุรกิจต่างๆ ของสหรัฐ ทำให้คุณสามารถ Customise พอร์ตการลงทุน เพื่อคว้าโอกาสเติบโตจากปัจจัย ‘FAT’ ได้ในแบบที่คุณต้องการ

สุดท้ายนี้ อย่าลืมว่า แม้ตลาดจะเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แต่หลักการสำคัญของการลงทุนระยะยาวที่ประสบความสำเร็จยังคงเหมือนเดิม นั่นก็คือ การลงทุนในพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดี ตามความเสี่ยงที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินของตัวคุณเอง ด้วยหลักการนี้ คุณจะสามารถรับมือกับทุกความท้าทายในปี 2025 หรือปีต่อๆ ไปได้อย่างมั่นใจ

ภาคผนวก

การวิเคราะห์กลุ่มธุรกิจต่างๆ ของสหรัฐบน Framework ‘FAT’ ของเรา


แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ