CIO Insights: การปรับฐานของตลาดหุ้นอินเดียอาจเป็นโอกาสในระยะยาว

10 March 2025
Stephanie Leung
Group CIO

แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ

ในขณะที่นักลงทุนทั่วโลกยังคงจับตามองนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ และความก้าวหน้าของ AI แต่หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่ยังไม่เป็นที่พูดถึงมากนัก คือ การที่ตลาดหุ้นอินเดียเข้าสู่ภาวะหมี (Bear Market) โดยปรับตัวลดลง 16% จากจุดสูงสุด ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม เรามองว่าการปรับฐานครั้งนี้เป็นโอกาสซื้อของนักลงทุน เพราะแม้อินเดียจะเผชิญกับความท้าทายในระยะสั้น แต่แรงขับเคลื่อนเชิงโครงสร้างในระยะยาวของอินเดียยังคงแข็งแกร่ง และการเปลี่ยนแปลงนโยบายล่าสุดอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ตลาดกลับมาเติบโตอีกครั้ง 

CIO Insights เดือนนี้ เราจะกลับมาทบทวนมุมมองที่มีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นอินเดีย พร้อมวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้ตลาดอินเดียปรับฐาน และเหตุใดเราจึงเชื่อว่าเหตุการณ์นี้อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุน

4 Key takeaways

  • แม้เศรษฐกิจอินเดียจะชะลอตัวตามวัฏจักร แต่ปัจจัยบวกเชิงโครงสร้างยังคงอยู่ การที่ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวลดลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะ 1) การชะลอตัวทางเศรษฐกิจตามวัฏจักรและผลประกอบการของบริษัทที่ลดลงท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยสูง 2) การชะลอตัวในตลาดเกิดใหม่โดยรวม และ 3) นักลงทุนต่างชาติขายทำกำไรเพื่อ Rotate ไปลงทุนในหุ้นจีน แต่เมื่อเราทบทวนปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ขับเคลื่อนการเติบโตของอินเดีย ซึ่งเรากล่าวไว้ใน CIO Insights: ทำไม ‘อินเดีย’ ถึงน่าสนใจสำหรับนักลงทุน จึงได้ข้อสรุปว่า ปัจจัยเหล่านี้ยังคงดีอยู่เหมือนเดิม

  • การเปลี่ยนแปลงนโยบายภายในประเทศล่าสุดน่าจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นอินเดียในปี 2025 การประกาศงบประมาณครั้งล่าสุดของอินเดีย มาพร้อมกับนโยบายลดภาษีเงินได้ครั้งใหญ่และการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาล นอกจากนี้ ธนาคารกลางอินเดียยังได้เริ่มวงจรการลดดอกเบี้ยลงแล้ว ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดหุ้น โดยกลุ่มธุรกิจที่น่าจะได้รับประโยชน์มากที่สุด ได้แก่ การเงิน อุตสาหกรรม และสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของตลาดหุ้นอินเดีย

  • ปัจจัยภายนอกยังคงเป็นความเสี่ยง แต่อินเดียน่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าประเทศอื่นๆ เงินดอลลาร์ฯ ที่แข็งค่าขึ้นได้กดดันค่าเงินรูปี และทำให้ผลตอบแทนของตลาดหุ้นอินเดียในสกุลเงินดอลลาร์ฯ ลดลง แต่ปัจจัยนี้ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะอินเดีย อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เศรษฐกิจของอินเดียได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากการบริโภคภายในประเทศ นโยบายการค้าที่ระมัดระวัง และที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐ และหากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอินเดียยังคงรักษา Momentum การเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ก็อาจช่วยชดเชยแรงกดดันจากอัตราแลกเปลี่ยน และสนับสนุนผลตอบแทนของตลาดหุ้นในระยะยาว

  • การวิเคราะห์ของเราพบว่า การเทขายหุ้นอินเดียในช่วงที่ผ่านมา เป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนระยะยาว ตลาดหุ้นอินเดียมีคาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรที่ 10% ซึ่งยังคงเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดนอกเหนือจากดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ของสหรัฐ นอกจากนี้ การปรับฐานครั้งล่าสุด ยังทำให้ ค่า P/E ของตลาดหุ้นอินเดียกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยหลัง COVID-19 ทั้งหมดนี้ ทำให้เทคโนโลยีการลงทุน Economic Regime Asset Allocation (ERAA™) ของเรา ยังคง Overweight ตลาดหุ้นอินเดียในพอร์ต General Investing ต่อไป

เศรษฐกิจอินเดียชะลอตัวตามวัฏจักร แต่ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง

ปัจจุบัน เศรษฐกิจอินเดียกำลังชะลอตัวตามรอบวัฏจักร โดยการเติบโตของ GDP ใน Q3/2024 ลดลงเหลือ 5.4% YoY ซึ่งต่ำกว่าศักยภาพของเศรษฐกิจที่ 6.5-7% โดยมีปัจจัยกดดันหลายประการ เช่น อัตราดอกเบี้ยในระดับสูง ซึ่งกดดันการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนของภาคธุรกิจ รวมถึงแผนการใช้จ่ายจากภาครัฐที่ชะลอตัวลงในปีที่แล้ว เนื่องจากมีการเลือกตั้งระดับประเทศเมื่อเดือน มิ.ย. 2024 และปัญหาน้ำท่วมจากฤดูมรสุม

การเติบโตที่ชะลอตัวส่งผลให้ตลาดหุ้นของอินเดียปรับตัวลดลง ท่ามกลางผลประกอบการของบริษัทที่อ่อนแอและความเชื่อมั่นที่ลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ทำให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลออกจากตลาดหุ้นอินเดียราว 20,000 ล้านดอลลาร์ฯ ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ ปัจจัยระดับโลกอื่นๆ ก็ส่งผลกระทบเช่นกัน เช่น เงินดอลลาร์ฯ ที่แข็งค่าขึ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่ดึงดูดให้เม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นจีน (อ่านเพิ่มเติมได้ใน CIO Insights: เศรษฐกิจจีนถึงจุดกลับตัวแล้วหรือยัง?) โดยตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวลดลง 16% ในสกุลเงินดอลลาร์ฯ ตั้งแต่ปลายเดือน ก.ย. 2024 ซึ่งมากกว่าตลาดหุ้นหลักอื่นๆ ทั่วโลก (ดูกราฟ 1a)

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยกดดันในระยะสั้น แต่เรายังเชื่อมั่นในปัจจัยเชิงโครงสร้างที่จะขับเคลื่อนการเติบโตระยะยาวของเศรษฐกิจอินเดีย ดังนี้

  • โครงสร้างประชากร: อินเดียยังคงมีแรงงานอายุน้อยจำนวนมาก และกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย Productivity และรายได้ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้ชนชั้นกลางของอินเดียเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 ชนชั้นกลางและกลาง-บนของอินเดียกว่า 100 ล้านครัวเรือน จะช่วยให้การบริโภคเพิ่มขึ้นถึง 2.7 ล้านล้านดอลลาร์ฯ (1)
  • การลงทุน: การลงทุน โดยเฉพาะในโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนการเติบโต ยังคงเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลอินเดีย และเมื่อพิจารณางบประมาณล่าสุดของรัฐบาล จะเห็นได้ว่าเม็ดเงินลงทุนเหล่านี้เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
  • เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ: แม้อินเดียเคยเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อสูงในอดีต แต่กรอบนโยบายควบคุมเงินเฟ้อ ช่วยให้ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) สามารถแก้ปัญหาเงินเฟ้อสูงได้ดีขึ้น โดยเงินเฟ้อที่มีเสถียรภาพมากขึ้นจะช่วยลดความเสี่ยงที่เงินรูปีจะอ่อนค่าลง ซึ่งไม่เพียงสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติด้วย

(อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียได้ใน CIO Insights: ทำไม ‘อินเดีย’ ถึงน่าสนใจสำหรับนักลงทุน)

แรงขับเคลื่อนเหล่านี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวขึ้นในระยะยาว ในระดับที่ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นสหรัฐ และดีกว่าตลาดหลักอื่นๆ ทั่วโลก โดยตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 11.3% ต่อปีในสกุลเงินดอลลาร์ฯ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 14.8% ในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ หากพิจารณาในระยะยาวขึ้น ผลตอบแทนของตลาดหุ้นอินเดียยังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 10% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับตลาดหุ้นสหรัฐ (ดูกราฟ 1b) 

การเปลี่ยนแปลงนโยบายล่าสุดอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นตลาดหุ้นอินเดีย

คำถามต่อมาคือ อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้? คำตอบ คือ แม้ปัจจัยเชิงนโยบายจะอยู่เบื้องหลังการชะลอตัวของเศรษฐกิจอินเดียเมื่อเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนโยบายการคลังและการเงิน รวมถึงสถานการณ์การเมืองล่าสุด อาจกลายเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดอินเดียในระยะข้างหน้า

งบประมาณล่าสุดจะช่วยกระตุ้นการบริโภคและการใช้จ่ายภาครัฐ

รัฐสภาอินเดียเพิ่งประกาศงบประมาณ (สิ้นสุดเดือน มี.ค. 2026) โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญของงบประมาณนี้คือ ข้อเสนอให้ปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้แรงงานระดับล่างและระดับกลางมีเงินใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านล้านรูปี (12,000 ล้านดอลลาร์ฯ) 

เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจอินเดีย ซึ่งขับเคลื่อนโดยการบริโภคเป็นหลัก โดยการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนคิดเป็น 58% ของ GDP ทำให้เราประเมินว่ามาตรการนี้เพียงอย่างเดียวอาจช่วยเพิ่ม GDP ได้ 0.3% หรือมากกว่านั้นหากพิจารณาผลกระทบทวีคูณ (Multiplier Effect) เช่น ภาคธุรกิจจ้างงานเพิ่มขึ้นหรือปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน

นอกจากนี้ แผนงบประมาณดังกล่าว ยังระบุว่า รัฐบาลเตรียมอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 17.4% จากปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่ารวม 15.5 ล้านล้านรูปี (177,000 ล้านดอลลาร์ฯ) โดยงบประมาณนี้จะถูกนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและทางรถไฟ รวมถึงการพัฒนาในภาคส่วนต่างๆ เช่น กลาโหม การผลิต และการพัฒนาเมือง โดยเม็ดเงินลงทุนในปีนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฐานที่ค่อนข้างต่ำเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากมีการเลือกตั้งใหญ่และฤดูมรสุม

อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเม็ดเงินลงทุนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ยังถือว่ามหาศาล โดยมีอัตราการเติบโตแบบทบต้น (CAGR) ถึง 18.6% ต่อปี (ดูกราฟ 2) และสัดส่วนการลงทุนของภาครัฐต่อ GDP ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียในระยะยาว

(อ่านเพิ่มเติมว่านโยบายการคลังจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและตลาดโลกอย่างไร? ได้ใน 2025 Macro Outlook: ‘FAT’ คือ New Normal)

การเริ่มวงจรลดดอกเบี้ยของ RBI เป็นผลดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ

หลังการประกาศงบประมาณของรัฐสภาไม่นาน ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ได้เริ่มวงจรการลดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมา เพื่อลดผลกระทบจากดอกเบี้ยในระดับสูงที่กดดันภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจอินเดียตลอด 2 ปีที่ผ่านมา และทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) อยู่ในแดนบวกเกือบตลอดช่วงเวลาดังกล่าว (ดูกราฟ 3) 

โดยทั่วไปแล้ว อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในแดนบวก จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เนื่องจากทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบชัดเจนต่อภาคธุรกิจที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย เช่น ธุรกิจก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรมที่ใช้เงินลงทุนสูง เช่น ภาคการผลิต 

เมื่อมองไปข้างหน้า เงินเฟ้อและแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง อาจเปิดทางให้ RBI สามารถปรับลดดอกเบี้ยได้อย่างต่อเนื่อง โดยตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 0.5% ในปีนี้

ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอินเดียอย่างไร? เรามองว่าการผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลังถือเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นอินเดีย โดยกลุ่มธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการลดดอกเบี้ย การลดภาษี และการเพิ่มเม็ดเงินลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การเงิน อุตสาหกรรม วัสดุก่อสร้าง และสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 2 ใน 3 ของดัชนี Nifty 50 (ดูกราฟ 4) 

รัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากขึ้นจะส่งผลดีต่อนโยบายเศรษฐกิจ

ในด้านการเมือง พรรค Bharatiya Janata Party (BJP) ของนายกรัฐมนตรี Narendra Modi กำลังฟื้นตัวจากความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งระดับชาติเมื่อปีที่แล้ว (อ่านเพิ่มเติมได้ใน CIO Update: เจาะลึกตลาดหุ้นอินเดียหลังการเลือกตั้ง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ BJP และพันธมิตร สามารถคว้าชัยชนะในรัฐมหาราษฏระ ซึ่งเป็นรัฐที่ร่ำรวยที่สุดของอินเดียในเดือน พ.ย. 2024 และยังชนะการเลือกตั้งที่กรุงเดลีเมื่อต้นเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา

ชัยชนะเหล่านี้มีความสำคัญเพราะ ระบบการปกครองแบบกระจายอำนาจของอินเดียเปิดโอกาสให้รัฐบาลท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญในการดำเนินนโยบาย ซึ่งไม่ใช่แค่นโยบายที่อยู่ในงบประมาณปีล่าสุดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจระยะยาว เพื่ออำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจ 

ปัจจัยระดับโลกยังคงท้าทาย แต่เศรษฐกิจอินเดียอาจได้รับผลกระทบน้อยกว่าประเทศอื่นๆ

แม้ว่าอินเดียจะมีปัจจัยสนับสนุนภายในประเทศ แต่ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกยังคงอยู่ เช่น นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐ อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐที่ ‘Higher for Longer’ และเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังแข็งแกร่ง โดยปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลให้เงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้น และกดดันค่าเงินรูปี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนของตลาดหุ้นอินเดียในสกุลเงินดอลลาร์ฯ

อย่างไรก็ตาม เงินดอลลาร์ฯ ที่แข็งค่าขึ้น เป็นปรากฏการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อสกุลเงินและตลาดทั่วโลก (ดูกราฟ 5) แต่หากนโยบายสนับสนุนการเติบโตของอินเดียยังคงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงดูดนักลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง ก็อาจช่วยชดเชยแรงกดดันเรื่องค่าเงินและสนับสนุนผลตอบแทนของตลาดหุ้นได้

นอกจากนี้ เราเชื่อว่าอินเดียมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐ น้อยกว่าประเทศอื่นๆ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

  • เศรษฐกิจอินเดียขับเคลื่อนโดยตลาดภายในประเทศเป็นหลัก โดยการบริโภคและการลงทุนมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตมากกว่าการส่งออกไปสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นเพียง 2-3% ของ GDP เท่านั้น

  • แม้จะยังมีความไม่แน่นอนเรื่องผลกระทบจากสงครามการค้า แต่ในการประกาศงบประมาณล่าสุด รัฐบาลอินเดียได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกด้วยการลดภาษีนำเข้าสินค้าหลายประเภท เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ สารเคมี รวมถึงแร่ธาตุที่จำเป็นต่อภาคอุตสาหกรรม (2)

  • อินเดียช่วยถ่วงดุลอำนาจกับจีน และยังมีศักยภาพในการเป็นทางเลือกกระจายความเสี่ยงด้าน Supply Chain ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสถานะทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจของอินเดีย โดยนายกรัฐมนตรี Modi เป็นหนึ่งในผู้นำต่างชาติกลุ่มแรกที่ได้พบกับ Donald Trump หลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐสมัยที่ 2 อย่างเป็นทางการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ และอาจเป็นการปูทางไปสู่ความร่วมมือทางการค้าระหว่างอินเดียกับสหรัฐ

หุ้นอินเดียยังคงน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ 

จากปัจจัยทั้งหมด เรามองว่าตลาดหุ้นอินเดียยังคงมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ทั่วโลก เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาวและปัจจัยบวกเชิงนโยบายในระยะสั้น

เมื่อพิจารณาแนวโน้มกำไรของภาคเอกชนอินเดีย ปัจจุบัน การคาดการณ์การเติบโตของกำไรของตลาดหุ้นอินเดียในอีก 12 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ราว 9% ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดในโลกนอกเหนือจากดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ของสหรัฐ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แต่ถ้าหากไม่นับรวมหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven การเติบโตของกำไรของตลาดหุ้นสหรัฐ จะอยู่ที่ประมาณ 7% เท่านั้น โดยความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นอินเดียยังได้รับแรงขับเคลื่อนจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แม้ว่าจะชะลอตัวลงในระยะสั้น แต่ยังคงสูงกว่าประเทศเศรษฐกิจหลักส่วนใหญ่

ในด้าน Valuation ค่า P/E ของตลาดหุ้นอินเดีย ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 21 เท่า (ดูกราฟ 6) ซึ่งแม้จะยังสูงกว่าตลาดหลักอื่นๆ แต่ก็กลับมาอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยหลังยุค COVID-19 โดยการปรับฐานครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าราคาหุ้นมีความสอดคล้องกับแนวโน้มการทำกำไรในอนาคตมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน

แม้ตลาดหุ้นอินเดียจะปรับตัวลงในระยะสั้น แต่ยังคงมีศักยภาพในระยะยาว

ในฐานะนักลงทุนระยะยาว เราขอแนะนำให้คุณให้ความสำคัญกับปัจจัยที่ขับเคลื่อนผลตอบแทนที่แท้จริง เช่น แนวโน้มทางเศรษฐกิจ ผลประกอบการของบริษัท และ Valuation ของสินทรัพย์ แทนที่จะให้ความสำคัญกับความผันผวนของตลาดในระยะสั้น

ในกรณีของอินเดีย พื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แรงสนับสนุนของนโยบายในระยะสั้น และแรงขับเคลื่อนเชิงโครงสร้างในระยะยาว ล้วนส่งเสริมให้ตลาดอินเดียน่าลงทุน โดยการปรับฐานของตลาดหุ้นอินเดียเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้ Valuation อยู่ในระดับที่เหมาะสมมากขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุน นอกจากนี้ อินเดียยังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า น้อยกว่าประเทศอื่นๆ

ในฐานะนักลงทุนระยะยาวทั่วโลก ปัจจัยทั้งหมดนี้ทำให้การลงทุนในอินเดียยังคงน่าสนใจ และเป็นเหตุผลที่เทคโนโลยีการลงทุน Economic Regime Asset Allocation (ERAA™) ของเรา ยังคงสัดส่วน Overweight ตลาดหุ้นอินเดียในพอร์ต General Investing และหากคุณต้องการเพิ่มสัดส่วนของตลาดอินเดียด้วยตัวเอง Flexible Portfolio ของเรา มีสินทรัพย์กว่า 70 ประเภทให้คุณเลือก รวมถึงตลาดหุ้นอินเดียด้วย

เช่นเคย StashAway พร้อมที่จะช่วยคุณก้าวข้ามเสียงรบกวนต่างๆ ในตลาด และจะคอยอยู่เคียงข้างคุณไปตลอดเส้นทางการลงทุน เพื่อให้คุณสามารถลงทุนแบบ Data-driven ได้อย่างมั่นใจ

อ้างอิง

  1. Shukla, R. (2023). The rise of India's middle class: A force to reckon with. People Research on India's Consumer Economy (PRICE).
  2. Biswas, S., and Inamdar, N. (2025). India looks on nervously as Trump wields tariff threat. BBC News.

*หมายเหตุ:

การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน; ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต; การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

ข้อมูลนี้ไม่ถือเป็นคำเสนอ คำแนะนำ คำเชื้อเชิญ หรือการชักชวนให้ท่านซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หรือเข้าทำธุรกรรมใดๆ

ข้อมูลนี้ไม่ได้จัดเตรียมขึ้นโดยคำนึงถึงสถานการณ์ส่วนบุคคลของท่าน (เช่น วัตถุประสงค์การลงทุน สถานการณ์ทางการเงิน หรือความความต้องการโดยเฉพาะ) ท่านควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาด้านการเงิน บัญชี ภาษี กฎหมาย และด้านอื่น ๆ ของท่านเอง


แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ