CIO Update: เจาะลึกตลาดหุ้นอินเดียหลังการเลือกตั้ง
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา การเลือกตั้งผู้นำอินเดียที่กินเวลายาวนานถึง 6 สัปดาห์ก็ถึงบทสรุป โดยผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งราว 642 ล้านคน ได้เดินเข้าคูหาเลือกตั้งเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะเป็นผู้นำประเทศไปอีก 5 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญเคยคาดการณ์ไว้ว่า Narendra Modi นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันจะได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย แต่กลับกัน ผลการเลือกตั้งที่ออกมาค่อนข้างซับซ้อนกว่าที่คิด ทำให้ตลาดหุ้นอินเดียเผชิญความผันผวนอย่างหนัก
หลังจากนี้ตลาดหุ้นอินเดียจะเป็นอย่างไร? และนักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอะไรบ้าง? เพราะแม้ตลาดหุ้นอินเดียจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นในระยะสั้น แต่มุมมองของเราเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียในระยะยาว ยังคงเหมือนเดิม
ความผันผวนของตลาดหุ้นอินเดียหลังการเลือกตั้ง
ผลการเลือกตั้งทั่วไปของอินเดียครั้งนี้ค่อนข้างผิดความคาดหมาย โดยพรรค BJP ของนายกฯ Modi สูญเสียเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ทำให้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับโอกาสที่เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตในระยะยาว ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดหุ้นอินเดียก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ดัชนีสำคัญของอินเดียอย่าง NIFTY 50 ปรับตัวลงถึง 6% เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ที่ผ่านมา แต่กลับมาบวกได้ 3-4% ในวันถัดมา หลังนักลงทุนมีเวลาไตร่ตรองข่าวผลการเลือกตั้งอย่างละเอียด
หากคุณถอยหลังออกมามองภาพรวม (ตารางด้านล่าง) คุณก็จะเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนมากขึ้น โดยในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง นักลงทุนได้แห่เข้ามาซื้อหุ้นอินเดีย เมื่อผล Exit Poll ล่วงหน้าบ่งชี้ว่าพรรค BJP ของนายกฯ Modi จะชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ซึ่งผลการเลือกตั้งจริงไม่ได้เป็นไปตามนั้น ทำให้มีการเทขายหุ้นอินเดียทันทีหลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ดัชนี NIFTY 50 ได้ปรับตัวกลับมาอยู่สูงกว่าระดับก่อนการเลือกตั้งแล้ว
ทั้งนี้ ความผันผวนของตลาดหุ้นในช่วงการเลือกตั้งนั้นเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่แค่สำหรับอินเดีย แต่รวมถึงตลาดอื่นๆ ด้วย โดยข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นความผันผวนลักษณะเดียวกันหลังการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว และเมื่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เสร็จสิ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ความชัดเจนด้านนโยบายเศรษฐกิจ ก็อาจกลับมาสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนอีกครั้ง
ภาพระยะยาว: แรงขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียยังคงเหมือนเดิม
ในระยะสั้น ตลาดหุ้นอินเดียยังมีโอกาสผันผวนได้อีก ดังนั้น นักลงทุนจึงควรมองไปที่ภาพระยะกลาง-ยาว ซึ่งเป็นระยะเวลาการลงทุนที่เทคโนโลยี ERAA™ ของเรา ให้ความสำคัญ
ในระยะยาวขึ้น เรายังคงมองว่ากำไรของภาคเอกชนอินเดียน่าจะเติบโตในระดับตัวเลข 2 หลัก เนื่องจากแรงขับเคลื่อนทางโครงสร้างที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย (เราเคยวิเคราะห์ไว้ใน CIO Insights: ทำไม ‘อินเดีย’ ถึงน่าสนใจสำหรับนักลงทุน) ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดังนี้
- โครงสร้างประชากรที่เอื้อต่อการเติบโต อินเดียมีประชากรวัยหนุ่มสาวที่กำลังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงชนชั้นกลางที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
- การเปลี่ยนแปลงของ Supply Chain ในระดับโลก โดยบริษัทต่างๆ ได้เริ่มกระจายฐานการผลิตออกจากจีน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภาคการผลิตของอินเดีย
- ธนาคารกลางที่เป็นอิสระและน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมเงินเฟ้อ
- การปฏิรูปครั้งก่อนยังอยู่ในแนวโน้มที่ดี ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ การขยายฐานภาษี และกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศ
ผลการเลือกตั้งที่ออกมาผิดคาด น่าจะเกิดจากความไม่พอใจในนโยบายด้านสังคมของนายกฯ Modi มากกว่านโยบายด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และรัฐบาลใหม่ของนายกฯ Modi ก็มีแนวโน้มที่จะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบเดิมต่อไป อย่างไรก็ตาม เรายังต้องจับตาดูสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนรออยู่ในระยะข้างหน้า ดังนี้
- ความสามารถในการผ่านกฎหมายปฏิรูปที่มีความซับซ้อนมากขึ้น นายกฯ Modi ที่มีเสียงสนับสนุนในมือน้อยลง อาจเผชิญความยากลำบากมากขึ้นในการผ่านกฎหมายปฏิรูปที่ดินและแรงงาน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
- รัฐบาลอาจใช้งบประมาณอย่างไม่มีวินัยมากขึ้น รัฐบาลผสมอาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะมีการออกนโยบายประชานิยมมากขึ้นเพื่อเรียกคะแนนนิยมจากประชาชนมากขึ้น แทนที่รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ หรือลดการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงก็อาจทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อสูงได้
ราคาหุ้นในระดับสูงอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในระยะสั้น แต่โอกาสในระยะยาวยังเหมือนเดิม
แม้โอกาสการเติบโตของอินเดียในระยะยาวยังคงน่าดึงดูด แต่เราควรพิจารณาราคาหุ้นในปัจจุบันด้วย โดยเฉพาะเมื่อเกิดความผันผวนขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ โดยค่า P/E ล่วงหน้าของดัชนี MSCI India อยู่ที่ 22.4 เท่า (ณ 5 มิ.ย. 2024) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะสั้น (21.5 เท่า) ราวๆ 4-5% และสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี (19 เท่า) ประมาณ 15%
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองภาพรวมของดัชนีหุ้นโลกก็จะเห็นภาพคล้ายๆ กัน โดยดัชนี MSCI All Country World Index (ACWI) มีค่า P/E อยู่ที่ 17.7 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะสั้น (16.8 เท่า) ราว 5-6% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว (16.1 เท่า) ราว 10% ทำให้ดัชนี MSCI India ยังมีค่า P/E ที่ค่อนข้างสมเหตุสมผลเมื่อเปรียบเทียบกับดัชนี ACWI โดยค่า P/E เฉลี่ยระยะสั้นของดัชนี MSCI India สูงกว่าดัชนี ACWI ที่ 1.3 เท่า ในขณะที่ค่าเฉลี่ย 10 ปีอยู่ที่ 1.2 เท่า
ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่าตลาดหุ้นอินเดียอาจมี Downside ในระยะสั้นราว 5% หากความผันผวนยังคงอยู่ต่อไป แต่หากตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวลดลงเกิน 10% หุ้นอินเดียจะถือว่า Undervalue เพราะมีราคาต่ำกว่าทั้งค่าเฉลี่ยของตัวเองและเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นโลก ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนระยะยาว
สรุปคือ นักลงทุนยังควรให้ความสำคัญกับภาพรวมของตลาดอินเดียเป็นหลัก เพราะแม้ผลการเลือกตั้งจะก่อให้เกิดความผันผวนในระยะสั้น แต่ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจอินเดียยังคงเหมือนเดิม นี่คือเหตุผลว่าทำไมพอร์ตการลงทุนของเราที่บริหารโดย ERAA™ ถึงมีสัดส่วน Overweight ในตลาดหุ้นอินเดีย และทำไมเราถึงมองว่าตลาดหุ้นอินเดียยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะยาว