ผลการดำเนินงาน H1/2024 ของ StashAway
ฝ่าตลาดที่ผันผวนด้วยความมั่นใจ
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 เราจะเห็นว่าสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ให้ผลตอบแทนแตกต่างกันออกไป โดยตลาดหุ้นยังได้รับแรงสนับสนุนจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ทำให้นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย. ตลาดหุ้นมีผลตอบแทนอยู่ที่ +11.6% ขณะที่ตราสารหนี้มีผลตอบแทนอยู่ที่ -4% เนื่องจากตลาดตราสารหนี้ถูกกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อสูงที่ยืดเยื้อและการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐจะ ‘Higher for Longer’
ในภาวะเศรษฐกิจแบบปัจจุบัน พอร์ตของ StashAway ที่บริหารโดยเทคโนโลยีการลงทุน Economic Regime Asset Allocation หรือ ERAA™ ยังคงให้ผลตอบแทนเป็นบวกอย่างแข็งแกร่ง และสูงกว่า Same-risk Benchmark* โดยเฉลี่ย
แล้วผลการดำเนินงานของ StashAway ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 เป็นอย่างไร เราสรุปไว้ในบทความนี้:
- พอร์ต General Investing และ Goal-based Investing (ใช้พอร์ตบริหารเดียวกันจึงสามารถดูผลการดำเนินงานร่วมกันได้)
- Thematic Portfolio
พอร์ต General Investing และ Goal-based Investing
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 พอร์ต General Investing (GI) ของ StashAway มีผลตอบแทนเป็นบวกในทุกระดับความเสี่ยง StashAway Risk Index (SRI) และสูงกว่า Same-risk Benchmark* โดยเฉลี่ย
โดยพอร์ต GI ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ +4.9% ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับ Same-risk Benchmark* ที่ +3.0% โดยเฉลี่ย
หุ้น: หุ้นเทคโนโลยีและหุ้น Large-cap เป็นตัวขับเคลื่อนผลตอบแทน
แม้ตลาดหุ้นจะย่อตัวลงเป็นเวลาสั้นๆ ในเดือน เม.ย. จากความกังวลเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดีเกินคาดและเงินเฟ้อที่ทำท่าจะยืดเยื้อต่อไป (อาจทำให้ Fed คงดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงนานขึ้น) แต่หลังจากความกังวลเหล่านี้เริ่มลดลง ตลาดหุ้นยังปรับตัวขึ้นต่อไปได้ในช่วงท้ายครึ่งแรกของปี 2024 โดยหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการปรับตัวขึ้นครั้งนี้
การที่ ERAA™ มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นสหรัฐโดยรวม เป็นปัจจัยที่ช่วยให้พอร์ตของเรามีผลตอบแทนเป็นบวกอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 โดยเฉพาะพอร์ตที่มี SRI สูงกว่า ซึ่งมีสัดส่วนของหุ้นมากกว่า
นอกจากนี้ การที่ ERAA™ Overweight หุ้นอินเดียในการทำ Re-optimisation ครั้งล่าสุด กลายเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้พอร์ตของเรามีผลตอบแทนเป็นบวกและชนะ Benchmark ได้ เพราะนับตั้งแต่นั้น ตลาดหุ้นอินเดียได้ปรับตัวสูงขึ้นถึง 7.3% ในสกุลเงินดอลลาร์ฯ แม้ในช่วงต้นเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอินเดียจะเผชิญความผันผวน หลังผลการเลือกตั้งออกมาไม่ตรงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แต่เราก็แนะนำให้นักลงทุน Stay Invested ต่อไปเพราะปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจอินเดียยังคงเหมือนเดิม ซึ่งตลาดหุ้นอินเดียก็สามารถกลับมาทำผลตอบแทนอยู่ในแดนบวกได้อีกครั้งไม่นานหลังจากนั้น
ทั้งนี้ เมื่อ ERAA™ จับสัญญาณว่าเศรษฐกิจได้เข้าสู่ภาวะ Inflationary Growth และเห็นว่ามีโอกาสที่ Bull Market จะขยายวงกว้างมากขึ้น ซึ่งหุ้นกลุ่มอื่นๆ จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ERAA™ จึง Overweight หุ้นวัฏจักร เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมของสหรัฐ เช่นเดียวกับ ETF ที่ลงทุนในดัชนี S&P 500 แบบ Equal-weighted
คุณสามารถอ่านมุมมองเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2024 ของ StashAway ได้ที่ CIO Insights: H2/2024 Market Outlook
ทองคำ: การปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งช่วยสนับสนุนผลตอบแทนในพอร์ต
การที่ ERAA™ Overweight ทองคำ ส่งผลดีกับผลการดำเนินงานของพอร์ตในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 โดยในช่วงดังกล่าว ทองคำให้ผลตอบแทนอยู่ที่ +12.5% ในสกุลเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งได้รับแรงขับเคลื่อนจากหลายปัจจัย เช่น Demand ที่เพิ่มสูงขึ้นจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก
ในระยะข้างหน้า เรายังเห็นโอกาสทั้งในเชิงโครงสร้างและเชิงวัฏจักรของทองคำ โดยในระยะสั้น ทองคำอาจได้ประโยชน์จากการที่ Fed กำลังจะลดอัตราดอกเบี้ยลง ส่วนในระยะยาวขึ้น ความกังวลที่รัฐบาลสหรัฐเตรียมจะออกพันธบัตรเพิ่มขึ้น และการที่ธนาคารกลางทั่วโลกพยายามลดสัดส่วนการถือครองเงินดอลลาร์ฯ ในทุนสำรองระหว่างประเทศ จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนที่ดีให้ทองคำ
ตราสารหนี้: พันธบัตรสหรัฐระยะสั้นและตราสารหนี้ทั่วโลกช่วยสนับสนุนผลตอบแทนโดยรวม
การที่ ERAA™ กำหนดให้มีสัดส่วนของพันธบัตรสหรัฐระยะสั้น โดยเฉพาะในพอร์ตที่มีความเสี่ยงต่ำและปานกลาง ช่วยชดเชยการปรับตัวลงของตราสารหนี้สหรัฐระยะยาว ซึ่งถูกกระทบจากปัญหาเงินเฟ้อที่ยังยืดเยื้อและการคาดการณ์ว่า Fed จะเลื่อนการลดดอกเบี้ยออกไป
นอกจากนี้ การมีสัดส่วนของตราสารหนี้ทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา (EM) และบางประเทศในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (DM) ได้ช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานในพอร์ตของเราเช่นกัน เนื่องจากมีธนาคารกลางหลายแห่งที่เริ่มปรับลดดอกเบี้ยลงมาแล้ว
พอร์ตของเราเผชิญความผันผวนน้อยกว่า Benchmark* ซึ่งจะช่วยสนับสนุนผลตอบแทนในระยะยาว
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 พอร์ตของเรายังคงเผชิญความผันผวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ Same-risk Benchmark* โดยพอร์ต GI มีค่าความผันผวน (Volatility) โดยเฉลี่ยที่ 5.3% ซึ่งน้อยกว่า Benchmark* ที่ 6.3% ในสกุลเงินดอลลาร์ฯ ซึ่งการที่พอร์ตมีความผันผวนน้อยกว่าแสดงว่าพอร์ตมีความเสี่ยงที่น้อยกว่า ดังนั้น Risk-adjusted Return (ผลตอบแทนปรับด้วยความเสี่ยง) ของเราจึงสูงกว่า Same-risk Benchmark* ที่ 1.7 ต่อ 0.7 โดยเฉลี่ย
ทั้งนี้ การที่พอร์ตของเรามีความผันผวนน้อยกว่า จะช่วยปกป้องพอร์ตจากการปรับตัวลงอย่างรุนแรงของตลาด และทำให้มี Drawdown (จุดขาดทุนสูงที่สุดของพอร์ต) ที่น้อยกว่าในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นในระยะยาว
ตารางด้านล่างแสดงให้เห็นว่า ช่วงที่ตลาดเป็นขาลงในปี 2022 พอร์ต Gl มี Drawdown ที่น้อยกว่า Benchmark แต่ยังสามารถฟื้นตัวได้ใกล้เคียงกับ Benchmark ซึ่งทำให้ผลตอบแทนในพอร์ตของเราดีกว่า Benchmark* ถึง 6.7 จุดโดยเฉลี่ยในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงมาก
Thematic Portfolio
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 Thematic Portfolio ของเราให้ผลตอบแทนแตกต่างกันไป โดยธีม Technology Enablers มีผลตอบแทนเป็นบวกอย่างแข็งแกร่งถึง 2 หลัก ส่วนธีม Future of Consumer Tech มีผลตอบแทนเป็นบวกเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ธีม Healthcare Innovation และธีม Environment and Cleantech มีผลตอบแทนติดลบเล็กน้อยในช่วงเวลาเดียวกัน
Technology Enablers
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 ธีม Technology Enablers ทำผลตอบแทนเป็นบวกอย่างแข็งแกร่งที่ +10.7% โดยเฉลี่ยในสกุลเงินดอลลาร์ฯ
การปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งของหุ้นในกลุ่มธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของผลตอบแทนในธีมนี้ โดยมีผลตอบแทนเพิ่มขึ้นมากถึง 49% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 ขณะที่ กลุ่มธุรกิจบล็อกเชนและคลาวด์คอมพิวติ้ง ช่วยสนับสนุนผลตอบแทนในธีมนี้เช่นกัน นอกจากนี้ สินทรัพย์ปรับสมดุล (Balancing Assets) อย่างพันธบัตรสหรัฐระยะสั้นและทองคำ ยังช่วยสร้างผลตอบแทน และชดเชยการปรับตัวลงของตราสารหนี้ระยะยาว
Future of Consumer Tech
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 ธีม Future of Consumer Tech ทำผลตอบแทนอยู่ที่ +1.1% โดยเฉลี่ยในสกุลเงินดอลลาร์ฯ โดยสาเหตุที่ธีมนี้ทำผลตอบแทนได้น้อยกว่าธีม Technology Enablers ค่อนข้างมาก เนื่องจากหุ้นเทคฯ ในธีมนี้ไม่ได้ปรับตัวขึ้นเท่ากับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI โดยตรง
กลุ่มธุรกิจ E-sport และเกมมิ่งทำผลตอบแทนได้สูงสุดในธีม เนื่องจากมีสัดส่วนของบริษัทผู้ผลิตชิปและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI อยู่ด้วย รวมถึงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจวิดีโอเกมทั่วโลก ซึ่งช่วยชดเชยผลการดำเนินงานที่ลดลงของกลุ่มธุรกิจอื่นๆ เช่น รถไฟฟ้าและยานยนต์ไร้คนขับ รวมถึง Ark Innovation ETF ขณะที่ พันธบัตรสหรัฐระยะสั้นและทองคำ ช่วยชดเชยการปรับตัวลงของตราสารหนี้ระยะยาว
Healthcare Innovation
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 ธีม Healthcare Innovation ทำผลตอบแทน -2.5% โดยเฉลี่ยในสกุลเงินดอลลาร์ฯ
กลุ่มธุรกิจเภสัชกรรมและ Global Healthcare ทำผลตอบแทนสูงสุดในธีมนี้ เนื่องจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมยารักษาโรคอ้วนและเบาหวานอย่าง Eli Lilly และ Novo Nordisk ขณะที่ หุ้นอื่นๆ ในกลุ่มธุรกิจ Healthcare ทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนัก ซึ่งอาจเป็นเพราะความไม่แน่นอนที่มาพร้อมกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจ Healthtech และ ARK Genomic Revolution ETF ที่ปรับตัวลดลงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์ปรับสมดุลอย่างพันธบัตรสหรัฐระยะสั้นและทองคำ ยังช่วยชดเชยการปรับตัวลงนี้ได้ โดยเฉพาะพอร์ตที่มี SRI ต่ำกว่า
Environment and Cleantech
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 ธีม Environment and Cleantech ทำผลตอบแทน -0.1% โดยเฉลี่ยในสกุลเงินดอลลาร์ฯ
กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีการจัดการน้ำและสิ่งแวดล้อม รวมถึงระบบกักเก็บพลังงานและ Smart Grid ทำผลตอบแทนสูงสุดในธีมนี้ ซึ่งช่วยชดเชยการปรับตัวลงของกลุ่มพลังงานสะอาด ตราสารหนี้สีเขียวและพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ
การอัปเดต Benchmark สำหรับหุ้นโลก
นับตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2024 เป็นต้นไป เราจะมีการเปลี่ยนแปลง Benchmark ในส่วนของหุ้นจาก MSCI All Country World Index เป็น FTSE All-World Index โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะใช้ดัชนีชี้วัดที่สามารถสะท้อนตลาดโลกได้อย่างแม่นยำ และให้การเปรียบเทียบผลตอบแทนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งดัชนีชี้วัดข้างต้นจะใช้กับพอร์ตการลงทุน ดังนี้
- General Investing และ Goal-based Investing
- Thematic Portfolio ธีม Environment and Cleantech
- Flexible Portfolio
โดยการเปลี่ยนแปลงดัชนี้ชี้วัดในครั้งนี้ จะไม่มีผลกระทบต่อสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตของลูกค้า StashAway แต่อย่างใด
*หมายเหตุ:
Benchmark ที่เราใช้ในการเปรียบเทียบมาจาก MSCI All Country World Index ในส่วนของหุ้น (ก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2023 ใช้ MSCI World Equity Index TRI) และ ใช้ FTSE World Government Bond TRI ในส่วนของตราสารหนี้ โดยหลังจากวันที่ 24 เมษายน 2024 เราได้เพิ่ม Bloomberg 1-3 Month US Treasury Bill Index ในส่วนของพันธบัตรสหรัฐระยะสั้น และ Bloomberg Gold Subindex Total Return Index ในส่วนของทองคําเข้าไปใน Benchmark โดยนํ้าหนักของ Benchmark ที่เราใช้จะมีค่าความผันผวนที่เกิดขึ้นจริง (Realized Volatility) ในระยะเวลา 10 ปี เท่ากับระดับความเสี่ยง StashAway Risk Index
ผลตอบแทนของโมเดลพอร์ตนี้เป็นมูลค่าทั้งหมดก่อนหักค่าธรรมเนียม ภาษีมูลค่าเพิ่ม และการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายของเงินปันผล โดยแบบจำลองผลการดำเนินงานนี้ทำเพื่อชี้วัดประสิทธิภาพของกลยุทธ์การลงทุน ไม่รวมปัจจัยอื่นๆ
ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงในบัญชีอาจแตกต่างจากโมเดลพอร์ต ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาดำเนินการซื้อขาย, ความแตกต่างของช่วงเวลาและความผันผวนระหว่างวันในการทำ Re-optimisation และการทำ Rebalancing, ค่าธรรมเนียม, ภาษีของเงินปันผล (และการขอคืนภาษี) และอื่นๆ โดยผลตอบแทนอยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน; ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ข้อมูลนี้ไม่ถือเป็นคำเสนอ คำแนะนำ คำเชื้อเชิญ หรือการชักชวนให้ท่านซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หรือเข้าทำธุรกรรมใดๆ
ข้อมูลนี้ไม่ได้จัดเตรียมขึ้นโดยคำนึงถึงสถานการณ์ส่วนบุคคลของท่าน (เช่น วัตถุประสงค์การลงทุน สถานการณ์ทางการเงิน หรือความต้องการโดยเฉพาะ) ท่านควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาด้านการเงิน บัญชี ภาษี กฎหมาย และด้านอื่นๆ ของท่านเอง