มีเงิน 1 ล้าน ลงทุนอะไรดี? เลือกให้เหมาะกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่คุณรับได้
เมื่อคุณมีเงินก้อนใหญ่ 1 ล้านบาท หลายคนมักจะประสบปัญหาเดียวกัน นั่นคือไม่รู้ว่าควรนำเงินไปลงทุนอะไรดี ที่ทั้งปลอดภัยและให้ผลตอบแทนคุ้มค่า บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจตัวเลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับเงิน 1 ล้านบาท พร้อมแนวทางการเลือกให้ตรงกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้
เข้าใจตัวเองก่อนเลือกลงทุนอะไรดี
ก่อนจะตัดสินใจว่าลงทุนอะไรดี ต้องเริ่มต้นด้วยการเข้าใจตัวเองให้ชัดเจนก่อน เพราะการลงทุนที่ดีต้องเหมาะกับตัวคุณโดยเฉพาะ โดยพิจารณาจากปัจจัยสำคัญ 4 ข้อ ดังนี้
1. เป้าหมายและระยะเวลาการลงทุน
คำถามสำคัญที่สุดก่อนตัดสินใจลงทุน คือ ‘คุณต้องการใช้เงินนี้เพื่ออะไร และเมื่อไหร่?’ เพราะจะเป็นตัวกำหนดว่าคุณควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด
- เก็บเงินเกษียณใน 20+ ปี เน้นการเติบโตระยะยาว เช่น หุ้น ETF กองทุนหุ้น หรือกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท
- ซื้อบ้านหรือมีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ใน 3-5 ปี ควรเลือกสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตร ตราสารหนี้ หรือกองทุนตลาดเงิน
- ต้องการรายได้สม่ำเสมอ ให้พิจารณาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ เช่น หุ้นปันผล กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REITs) หรือหุ้นกู้ที่ให้ดอกเบี้ยเป็นประจำ
โดยหลักการแล้ว ยิ่งระยะเวลาการลงทุนนานเท่าไร คุณยิ่งสามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพราะมีเวลาให้พอร์ตฟื้นตัวจากความผันผวนในระยะสั้นได้
2. ความเสี่ยงที่คุณรับได้
แม้จะมีเป้าหมายเดียวกัน แต่ระดับความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้ก็แตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้
ยกตัวอย่าง ลงทุนอะไรดีถ้าอยากเก็บเงินเพื่อเกษียณ
ถึงการลงทุนระยะยาวจะเหมาะกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงสูง แต่ถ้าเรารับความเสี่ยงได้น้อย เราก็ควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เพราะจะทำให้เราสบายใจมากกว่า เช่น หากมีคน 2 คนที่มีเป้าหมายเดียวกันคือ เก็บเงินเกษียณในอีก 25 ปี นาย A เป็นคนชอบความตื่นเต้นและรับความผันผวนได้ดี เขาอาจจัดพอร์ตให้มีหุ้นถึง 80% และตราสารหนี้แค่ 20% ในขณะที่ นาย B เป็นคนระมัดระวัง ไม่ชอบเห็นพอร์ตติดลบ เขาอาจเลือกจัดพอร์ตที่มีตราสารหนี้ 60% และมีหุ้นเพียง 40% ซึ่งแม้จะให้ผลตอบแทนที่อาจน้อยกว่าในระยะยาว แต่ก็ทำให้เขาไม่เครียดและยังคงลงทุนได้ต่อเนื่อง ดีกว่าการฝืนใจลงทุนในสินทรัพย์ที่อาจทำให้ตัวเองนอนไม่หลับ
3. สภาพคล่อง
สภาพคล่องหมายถึงความง่ายในการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสด ซึ่งเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจว่าจะลงทุนอะไรดี
- ต้องการใช้เงินได้สะดวก ควรเลือกสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น เงินฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่มีปริมาณการซื้อขายสูง หรือกองทุน ETF ที่สามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้น
- สามารถพักเงินไว้ได้ระยะหนึ่ง อาจพิจารณาเงินฝากประจำ พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้ที่มีกำหนดระยะเวลาชัดเจน
- สามารถพักเงินไว้ได้นาน หุ้นเติบโต หุ้นปันผล กองทุนรวม หรืออสังหาริมทรัพย์ เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ
การพิจารณาเรื่องสภาพคล่องก่อนเลือกลงทุนอะไรดีมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะกับนักลงทุนมือใหม่ที่อาจจะยังไม่เข้าใจความต้องการและความจำเป็นในการใช้จ่ายของตนเอง เพราะหากเลือกสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำเกินไป แล้วเกิดมีความจำเป็นต้องใช้เงินฉุกเฉิน คุณอาจต้องขายสินทรัพย์ในราคาที่ไม่ดีหรือมีค่าปรับจากการถอนก่อนกำหนด
กลยุทธ์การกระจายการลงทุน (Asset Allocation)
การจัดพอร์ตให้สมดุลถือเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการลงทุน ด้วยการบริหาร Asset Allocation หรือการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ และเงินสด ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้
มีการศึกษาพบว่า 80% ของผลตอบแทนมาจากการทำ Asset Allocation ที่ดี และเพียง 20% เท่านั้นที่มาจากการเลือกหุ้นรายตัว แสดงให้เห็นว่า การตัดสินใจว่าจะลงทุนอะไรดี เลือกสินทรัพย์ประเภทใดบ้าง และลงทุนในสัดส่วนเท่าไหร่ สำคัญกว่าการเลือกว่าจะซื้อหุ้นตัวไหนหรือกองทุนอะไรเสียอีก
เคล็ดลับสำคัญของการกระจายการลงทุนคือ ‘อย่าใส่ไข่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียว’ เพราะสินทรัพย์แต่ละประเภทมักให้ผลตอบแทนที่ไม่เท่ากันในแต่ละช่วงเวลา บางปีหุ้นอาจให้ผลตอบแทนดีกว่าตราสารหนี้มาก แต่บางปีอาจติดลบ ขณะที่ตราสารหนี้ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวก การกระจายการลงทุนจึงช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวมได้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของการกระจายการลงทุน คือ พอร์ตการลงทุน General Investing ของ StashAway ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีการกระจายการลงทุนที่ดีทั่วโลกผ่าน ETF โดยพอร์ต General Investing จะกระจายลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกผ่าน ETF คุณภาพดี 13-24 ตัวจากบริษัทจัดการกองทุนระดับโลก และออกแบบพอร์ตตามระดับความเสี่ยงที่คุณเลือก เช่น พอร์ตเสี่ยงสูง จะมีสัดส่วนของหุ้นมากกว่าพอร์ตเสี่ยงต่ำ ขณะที่ พอร์ตเสี่ยงต่ำ จะมีสัดส่วนของสินทรัพย์ปรับสมดุล เช่น ทองคำหรือตราสารหนี้ มากกว่า
เคล็ดลับสำคัญในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย
เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะลงทุนอะไรดี เคล็ดลับสำคัญที่ทุกคนควรคำนึงถึงเพื่อให้การลงทุนประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย คือ
1. อย่าใส่ไข่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียว
การกระจายการลงทุนคือกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยง แม้จะมีสินทรัพย์ที่ดูน่าสนใจเป็นพิเศษ ก็ไม่ควรนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในที่เดียว เพราะหากเกิดปัญหาคุณอาจสูญเสียเงินทั้งหมดได้
ให้ลองนึกถึงนักลงทุนที่นำเงินทั้งหมดไปซื้อหุ้นเพียงตัวเดียว แม้จะเป็นบริษัทที่ใหญ่และมั่นคง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ ปัญหาภายในบริษัท หรือการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่อาจทำให้ธุรกิจล้าสมัย ดังนั้น แทนที่จะลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียว การกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มธุรกิจและภูมิภาค จะช่วยลดความเสี่ยงในพอร์ตของคุณได้อย่างมีนัยสำคัญ
2. หาตัวช่วยการลงทุน
ในยุคปัจจุบัน มีตัวช่วยมากมายที่จะทำให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาหรือยังไม่รู้ว่าจะลงทุนอะไรดี เช่น
- กองทุน ETF (Exchange-traded Fund)
ETF คือกองทุนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้นทั่วไป แต่ภายในประกอบด้วยหลักทรัพย์ที่หลากหลายตามดัชนีหรือธีมการลงทุนที่กำหนดไว้ โดยทั่วไป ETF มักมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่ากองทุนรวมและเข้าถึงได้ง่าย ทำให้เป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และนักลงทุนมืออาชีพ
ETF เป็นวิธีที่ง่ายในการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นหรือตราสารหนี้จำนวนมาก ด้วยเงินลงทุนเพียงก้อนเดียว เช่น ETF ที่ติดตามดัชนี S&P 500 จะให้คุณมีส่วนร่วมในการเติบโตของ 500 บริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐ โดยไม่ต้องเลือกซื้อหุ้นทีละตัว
- กองทุนที่มีผู้จัดการกองทุนบริหารให้
หากคุณไม่มีเวลาติดตามข่าวสารการเงินหรือตลาดลงทุนอย่างใกล้ชิด การเลือกลงทุนผ่านกองทุนที่มีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพบริหารให้อาจเป็นทางเลือกที่ดี โดยกองทุนลักษณะนี้จะบริหาร Asset Allocation กระจายการลงทุน และปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับภาวะตลาดและระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้ โดยที่คุณไม่ต้องทำเองทุกขั้นตอน
ตัวอย่างเช่น StashAway ที่เป็นผู้ให้บริการบริหารพอร์ตลงทุนแบบ Data-driven ด้วยเทคโนโลยีบริหารพอร์ตอัตโนมัติตามภาวะเศรษฐกิจ บนความเสี่ยงที่คุณเลือกได้อย่างสบายใจ
- กองทุนลดหย่อนภาษี
หากคุณต้องการลงทุนพร้อมกับวางแผนภาษีไปในตัว กองทุนที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ เช่น กองทุน RMF หรือ Thai ESG ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดี
กองทุนเหล่านี้ช่วยส่งเสริมวินัยในการลงทุนระยะยาว พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามเงื่อนไขที่ภาครัฐกำหนด เช่น RMF สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ (ไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี)
3. อดทนและมองการณ์ไกล
การลงทุนต้องอาศัยความอดทนและมุมมองระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่างหุ้น ซึ่งในระยะสั้นอาจเห็นการปรับตัวขึ้นลงรุนแรงได้
หลายคนลงทุนโดยคาดหวังกำไรในทันที เมื่อเห็นว่าราคาลดลงก็รีบขายทิ้งด้วยความกลัว ซึ่งมักทำให้ขาดทุนโดยไม่จำเป็น การมีมุมมองระยะยาวและความเข้าใจว่าตลาดย่อมมีขึ้นมีลงเป็นเรื่องธรรมดา จะช่วยให้คุณไม่ตัดสินใจผิดพลาดเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
สรุปคือ จะเลือกลงทุนอะไรดี ต้องเลือกให้เหมาะกับตัวคุณ
การตัดสินใจว่าจะลงทุนอะไรดีสำหรับเงิน 1 ล้านบาทของคุณ ไม่มีคำตอบสำเร็จรูปที่ใช้ได้กับทุกคน แต่ต้องพิจารณาจากเป้าหมาย ระยะเวลา ความเสี่ยงที่รับได้ และความต้องการสภาพคล่องของคุณเอง ให้เริ่มต้นจากการจัดสรรเงินลงทุนให้สมดุลตามระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตัวเอง ศึกษาและเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนแต่ละประเภทที่สนใจ และที่สำคัญที่สุด อย่าลืมว่าการลงทุนเป็นเรื่องของระยะเวลา ความสม่ำเสมอ และการมีวินัยทางการเงิน ไม่ว่าคุณจะเลือกลงทุนอะไร ในท้ายที่สุดแล้ว การเริ่มต้นลงทุนตั้งแต่วันนี้ ดีกว่ารออีก 1 ปีหรือ 5 ปีข้างหน้า เพราะยิ่งเริ่มเร็ว เงินของคุณยิ่งมีเวลาเติบโตมากขึ้น
หมายเหตุ:
การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน; ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต; การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ข้อมูลนี้ไม่ถือเป็นคำเสนอ คำแนะนำ คำเชื้อเชิญ หรือการชักชวนให้ท่านซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หรือเข้าทำธุรกรรมใดๆ
ข้อมูลนี้ไม่ได้จัดเตรียมขึ้นโดยคำนึงถึงสถานการณ์ส่วนบุคคลของท่าน (เช่น วัตถุประสงค์การลงทุน สถานการณ์ทางการเงิน หรือความความต้องการโดยเฉพาะ) ท่านควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาด้านการเงิน บัญชี ภาษี กฎหมาย และด้านอื่นๆ ของท่านเอง