มีเงิน 1 ล้าน ลงทุนอะไรดี? เลือกให้เหมาะกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่คุณรับได้

24 April 2025

แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ

เมื่อคุณมีเงินก้อนใหญ่ 1 ล้านบาท หลายคนมักจะประสบปัญหาเดียวกัน นั่นคือไม่รู้ว่าควรนำเงินไปลงทุนอะไรดี ที่ทั้งปลอดภัยและให้ผลตอบแทนคุ้มค่า บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจตัวเลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับเงิน 1 ล้านบาท พร้อมแนวทางการเลือกให้ตรงกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้

เข้าใจตัวเองก่อนเลือกลงทุนอะไรดี

ก่อนจะตัดสินใจว่าลงทุนอะไรดี ต้องเริ่มต้นด้วยการเข้าใจตัวเองให้ชัดเจนก่อน เพราะการลงทุนที่ดีต้องเหมาะกับตัวคุณโดยเฉพาะ โดยพิจารณาจากปัจจัยสำคัญ 4 ข้อ ดังนี้

1. เป้าหมายและระยะเวลาการลงทุน

คำถามสำคัญที่สุดก่อนตัดสินใจลงทุน คือ ‘คุณต้องการใช้เงินนี้เพื่ออะไร และเมื่อไหร่?’ เพราะจะเป็นตัวกำหนดว่าคุณควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด

  • เก็บเงินเกษียณใน 20+ ปี เน้นการเติบโตระยะยาว เช่น หุ้น ETF กองทุนหุ้น หรือกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท
  • ซื้อบ้านหรือมีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ใน 3-5 ปี ควรเลือกสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตร ตราสารหนี้ หรือกองทุนตลาดเงิน
  • ต้องการรายได้สม่ำเสมอ ให้พิจารณาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ เช่น หุ้นปันผล กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REITs) หรือหุ้นกู้ที่ให้ดอกเบี้ยเป็นประจำ

โดยหลักการแล้ว ยิ่งระยะเวลาการลงทุนนานเท่าไร คุณยิ่งสามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพราะมีเวลาให้พอร์ตฟื้นตัวจากความผันผวนในระยะสั้นได้

2. ความเสี่ยงที่คุณรับได้

แม้จะมีเป้าหมายเดียวกัน แต่ระดับความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้ก็แตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้

ยกตัวอย่าง ลงทุนอะไรดีถ้าอยากเก็บเงินเพื่อเกษียณ

ถึงการลงทุนระยะยาวจะเหมาะกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงสูง แต่ถ้าเรารับความเสี่ยงได้น้อย เราก็ควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เพราะจะทำให้เราสบายใจมากกว่า เช่น หากมีคน 2 คนที่มีเป้าหมายเดียวกันคือ เก็บเงินเกษียณในอีก 25 ปี นาย A เป็นคนชอบความตื่นเต้นและรับความผันผวนได้ดี เขาอาจจัดพอร์ตให้มีหุ้นถึง 80% และตราสารหนี้แค่ 20% ในขณะที่ นาย B เป็นคนระมัดระวัง ไม่ชอบเห็นพอร์ตติดลบ เขาอาจเลือกจัดพอร์ตที่มีตราสารหนี้ 60% และมีหุ้นเพียง 40% ซึ่งแม้จะให้ผลตอบแทนที่อาจน้อยกว่าในระยะยาว แต่ก็ทำให้เขาไม่เครียดและยังคงลงทุนได้ต่อเนื่อง ดีกว่าการฝืนใจลงทุนในสินทรัพย์ที่อาจทำให้ตัวเองนอนไม่หลับ

3. สภาพคล่อง

สภาพคล่องหมายถึงความง่ายในการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสด ซึ่งเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจว่าจะลงทุนอะไรดี

  • ต้องการใช้เงินได้สะดวก ควรเลือกสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น เงินฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่มีปริมาณการซื้อขายสูง หรือกองทุน ETF ที่สามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้น
  • สามารถพักเงินไว้ได้ระยะหนึ่ง อาจพิจารณาเงินฝากประจำ พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้ที่มีกำหนดระยะเวลาชัดเจน
  • สามารถพักเงินไว้ได้นาน หุ้นเติบโต หุ้นปันผล กองทุนรวม หรืออสังหาริมทรัพย์ เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ

การพิจารณาเรื่องสภาพคล่องก่อนเลือกลงทุนอะไรดีมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะกับนักลงทุนมือใหม่ที่อาจจะยังไม่เข้าใจความต้องการและความจำเป็นในการใช้จ่ายของตนเอง เพราะหากเลือกสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำเกินไป แล้วเกิดมีความจำเป็นต้องใช้เงินฉุกเฉิน คุณอาจต้องขายสินทรัพย์ในราคาที่ไม่ดีหรือมีค่าปรับจากการถอนก่อนกำหนด

กลยุทธ์การกระจายการลงทุน (Asset Allocation)

การจัดพอร์ตให้สมดุลถือเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการลงทุน ด้วยการบริหาร Asset Allocation หรือการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ และเงินสด ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้

มีการศึกษาพบว่า 80% ของผลตอบแทนมาจากการทำ Asset Allocation ที่ดี และเพียง 20% เท่านั้นที่มาจากการเลือกหุ้นรายตัว แสดงให้เห็นว่า การตัดสินใจว่าจะลงทุนอะไรดี เลือกสินทรัพย์ประเภทใดบ้าง และลงทุนในสัดส่วนเท่าไหร่ สำคัญกว่าการเลือกว่าจะซื้อหุ้นตัวไหนหรือกองทุนอะไรเสียอีก

เคล็ดลับสำคัญของการกระจายการลงทุนคือ ‘อย่าใส่ไข่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียว’ เพราะสินทรัพย์แต่ละประเภทมักให้ผลตอบแทนที่ไม่เท่ากันในแต่ละช่วงเวลา บางปีหุ้นอาจให้ผลตอบแทนดีกว่าตราสารหนี้มาก แต่บางปีอาจติดลบ ขณะที่ตราสารหนี้ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวก การกระจายการลงทุนจึงช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวมได้

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของการกระจายการลงทุน คือ พอร์ตการลงทุน General Investing ของ StashAway ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีการกระจายการลงทุนที่ดีทั่วโลกผ่าน ETF โดยพอร์ต General Investing จะกระจายลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกผ่าน ETF คุณภาพดี 13-24 ตัวจากบริษัทจัดการกองทุนระดับโลก และออกแบบพอร์ตตามระดับความเสี่ยงที่คุณเลือก เช่น พอร์ตเสี่ยงสูง จะมีสัดส่วนของหุ้นมากกว่าพอร์ตเสี่ยงต่ำ ขณะที่ พอร์ตเสี่ยงต่ำ จะมีสัดส่วนของสินทรัพย์ปรับสมดุล เช่น ทองคำหรือตราสารหนี้ มากกว่า

เคล็ดลับสำคัญในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย

เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะลงทุนอะไรดี เคล็ดลับสำคัญที่ทุกคนควรคำนึงถึงเพื่อให้การลงทุนประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย คือ

1. อย่าใส่ไข่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียว

การกระจายการลงทุนคือกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยง แม้จะมีสินทรัพย์ที่ดูน่าสนใจเป็นพิเศษ ก็ไม่ควรนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในที่เดียว เพราะหากเกิดปัญหาคุณอาจสูญเสียเงินทั้งหมดได้

ให้ลองนึกถึงนักลงทุนที่นำเงินทั้งหมดไปซื้อหุ้นเพียงตัวเดียว แม้จะเป็นบริษัทที่ใหญ่และมั่นคง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ ปัญหาภายในบริษัท หรือการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่อาจทำให้ธุรกิจล้าสมัย ดังนั้น แทนที่จะลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียว การกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มธุรกิจและภูมิภาค จะช่วยลดความเสี่ยงในพอร์ตของคุณได้อย่างมีนัยสำคัญ

2. หาตัวช่วยการลงทุน

ในยุคปัจจุบัน มีตัวช่วยมากมายที่จะทำให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาหรือยังไม่รู้ว่าจะลงทุนอะไรดี เช่น

  • กองทุน ETF (Exchange-traded Fund)

ETF คือกองทุนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้นทั่วไป แต่ภายในประกอบด้วยหลักทรัพย์ที่หลากหลายตามดัชนีหรือธีมการลงทุนที่กำหนดไว้ โดยทั่วไป ETF มักมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่ากองทุนรวมและเข้าถึงได้ง่าย ทำให้เป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และนักลงทุนมืออาชีพ

ETF เป็นวิธีที่ง่ายในการกระจายการลงทุนไปยังหุ้นหรือตราสารหนี้จำนวนมาก ด้วยเงินลงทุนเพียงก้อนเดียว เช่น ETF ที่ติดตามดัชนี S&P 500 จะให้คุณมีส่วนร่วมในการเติบโตของ 500 บริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐ โดยไม่ต้องเลือกซื้อหุ้นทีละตัว

  • กองทุนที่มีผู้จัดการกองทุนบริหารให้

หากคุณไม่มีเวลาติดตามข่าวสารการเงินหรือตลาดลงทุนอย่างใกล้ชิด การเลือกลงทุนผ่านกองทุนที่มีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพบริหารให้อาจเป็นทางเลือกที่ดี โดยกองทุนลักษณะนี้จะบริหาร Asset Allocation กระจายการลงทุน และปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับภาวะตลาดและระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้ โดยที่คุณไม่ต้องทำเองทุกขั้นตอน

ตัวอย่างเช่น StashAway ที่เป็นผู้ให้บริการบริหารพอร์ตลงทุนแบบ Data-driven ด้วยเทคโนโลยีบริหารพอร์ตอัตโนมัติตามภาวะเศรษฐกิจ บนความเสี่ยงที่คุณเลือกได้อย่างสบายใจ

  • กองทุนลดหย่อนภาษี

หากคุณต้องการลงทุนพร้อมกับวางแผนภาษีไปในตัว กองทุนที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ เช่น กองทุน RMF หรือ Thai ESG ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดี

กองทุนเหล่านี้ช่วยส่งเสริมวินัยในการลงทุนระยะยาว พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามเงื่อนไขที่ภาครัฐกำหนด เช่น RMF สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ (ไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี)

3. อดทนและมองการณ์ไกล

การลงทุนต้องอาศัยความอดทนและมุมมองระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงอย่างหุ้น ซึ่งในระยะสั้นอาจเห็นการปรับตัวขึ้นลงรุนแรงได้

หลายคนลงทุนโดยคาดหวังกำไรในทันที เมื่อเห็นว่าราคาลดลงก็รีบขายทิ้งด้วยความกลัว ซึ่งมักทำให้ขาดทุนโดยไม่จำเป็น การมีมุมมองระยะยาวและความเข้าใจว่าตลาดย่อมมีขึ้นมีลงเป็นเรื่องธรรมดา จะช่วยให้คุณไม่ตัดสินใจผิดพลาดเพราะอารมณ์ชั่ววูบ

สรุปคือ จะเลือกลงทุนอะไรดี ต้องเลือกให้เหมาะกับตัวคุณ

การตัดสินใจว่าจะลงทุนอะไรดีสำหรับเงิน 1 ล้านบาทของคุณ ไม่มีคำตอบสำเร็จรูปที่ใช้ได้กับทุกคน แต่ต้องพิจารณาจากเป้าหมาย ระยะเวลา ความเสี่ยงที่รับได้ และความต้องการสภาพคล่องของคุณเอง ให้เริ่มต้นจากการจัดสรรเงินลงทุนให้สมดุลตามระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตัวเอง ศึกษาและเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนแต่ละประเภทที่สนใจ และที่สำคัญที่สุด อย่าลืมว่าการลงทุนเป็นเรื่องของระยะเวลา ความสม่ำเสมอ และการมีวินัยทางการเงิน ไม่ว่าคุณจะเลือกลงทุนอะไร ในท้ายที่สุดแล้ว การเริ่มต้นลงทุนตั้งแต่วันนี้ ดีกว่ารออีก 1 ปีหรือ 5 ปีข้างหน้า เพราะยิ่งเริ่มเร็ว เงินของคุณยิ่งมีเวลาเติบโตมากขึ้น

หมายเหตุ:

การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน; ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต; การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน

ข้อมูลนี้ไม่ถือเป็นคำเสนอ คำแนะนำ คำเชื้อเชิญ หรือการชักชวนให้ท่านซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หรือเข้าทำธุรกรรมใดๆ

ข้อมูลนี้ไม่ได้จัดเตรียมขึ้นโดยคำนึงถึงสถานการณ์ส่วนบุคคลของท่าน (เช่น วัตถุประสงค์การลงทุน สถานการณ์ทางการเงิน หรือความความต้องการโดยเฉพาะ) ท่านควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาด้านการเงิน บัญชี ภาษี กฎหมาย และด้านอื่นๆ ของท่านเอง


แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ