เมื่อดัชนี S&P 500 ร่วง: นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จรับมืออย่างไร?
เมื่อสิ้นสุดวันอังคารที่ผ่านมา (8 เม.ย.) ดัชนี S&P 500 ได้ร่วงลงประมาณ 12% ภายใน 4 วันทำการ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในช่วงที่ตลาดปรับตัวลงติดต่อกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของดัชนี เทียบได้กับเหตุการณ์เดือน มี.ค. 2020 (COVID-19) เดือน พ.ย. 2008 (วิกฤติการเงินโลก) และเดือน ต.ค. 1987 (Black Monday)
คุณอาจเห็นพาดหัวข่าวที่น่ากังวล เช่น “ตลาดทรุดหนัก-เศรษฐกิจเสี่ยงถดถอย” หรือแม้แต่ “สงครามเศรษฐกิจระดับนิวเคลียร์” จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคนจะรู้สึกตื่นตระหนก และมองข้ามคำแนะนำที่ว่า “Stay Calm and Stay Invested”
แต่ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่าการ Stay Invested คือทางเลือกที่ดีที่สุด ให้ลองดูว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ทำอะไรแตกต่างออกไปในช่วงตลาดร่วงหนักแบบนี้? พวกเขาทำอย่างไรให้พอร์ตยังคงเติบโตในระยะยาว?
3 สิ่งที่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จทำ เพื่อคว้าโอกาสในช่วงตลาดปรับตัวลง
- พวกเขาไม่ขายสินทรัพย์ด้วยความตื่นตระหนก
การเห็นพอร์ตติดลบ 10% หรือ 20% เป็นเรื่องบีบหัวใจ แต่การเทขายสินทรัพย์ด้วยความกลัวหรือหนีออกจากตลาด คือ สิ่งเลวร้ายที่สุดที่คุณจะทำได้ในเวลานี้ โดยนักลงทุนที่สามารถใช้ประโยชน์จากช่วงตลาดขาลง จะมองความผันผวนในภาพรวมอย่างมีสติ

แม้จะเผชิญจุดต่ำสุดหลายครั้ง แต่ดัชนี S&P 500 ก็ยังให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอกว่า 520% ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา โดยผ่านทั้งเหตุการณ์ COVID-19 และวิกฤติการเงินโลกปี 2008
เมื่อมองย้อนกลับไป ตลาดสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ 119% ภายใน 5 ปี หลังผ่านเหตุการณ์ Black Monday ปี 1987 และหลังวิกฤติ COVID-19 ตลาดก็กลับมาพุ่งขึ้นถึง 144% หรือแม้แต่ในปี 2008 ที่ตลาดร่วงหนักถึง 105% แต่ก็ตามมาด้วยตลาดกระทิงที่ยาวนานที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยให้ผลตอบแทนถึง 164% ในอีก 5 ปีให้หลัง

นักลงทุนที่ชาญฉลาดและมองภาพรวมในระยะยาว จะใช้โอกาสนี้วางกลยุทธ์เพื่อรอรับประโยชน์จากการฟื้นตัวของตลาด ผ่านการกระจายการลงทุนที่ดีและลงทุนแบบ DCA (Dollar-cost Averaging) เพราะพวกเขาเข้าใจดีว่า ความผันผวนคือเรื่องปกติของตลาด และสิ่งสำคัญที่สุดที่นักลงทุนสามารถทำได้ในเวลานี้ คือ ‘อย่าหยุดลงทุน’
- พวกเขาใช้วิธีลงทุนแบบ DCA
นักลงทุนที่อยู่รอดในตลาด มักมองความผันผวนเป็น ‘โอกาส’ มากกว่าภัยคุกคาม โดยแทนที่จะพยายามจับจังหวะตลาด เพื่อหาจุดเข้าที่ดีที่สุด พวกเขาจะทยอยลงทุนด้วยจำนวนเงินคงที่ในทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน หรือรายไตรมาส
ในระยะยาว วิธีนี้จะช่วยลดต้นทุนเฉลี่ยในการซื้อสินทรัพย์ได้มากกว่าการลงทุนแบบสุ่มหรือใช้อารมณ์ โดยวิธีง่ายๆ เช่นนี้จะช่วยให้การปรับตัวลงในระยะสั้นกลายเป็นโอกาสในระยะยาว และยังช่วยลดความเครียดจากการพยายามจับจังหวะตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนลังเล ไม่กล้าลงทุนต่อ

- พวกเขากระจายการลงทุน
การกระจายการลงทุน คือ วิธีรับมือความไม่แน่นอนของตลาดที่ดีที่สุด โดยการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มธุรกิจและภูมิภาค จะสร้างความยืดหยุ่นให้พอร์ตของคุณเมื่อสภาวะตลาดมีการเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่น เมื่อหุ้นเทคโนโลยีปรับตัวลงหนัก ทองคำหรือพันธบัตรก็อาจช่วยพยุงพอร์ตได้ หรือเมื่อหุ้นสหรัฐเผชิญกับแรงกดดัน การมีสัดส่วนของหุ้นทั่วโลกก็อาจช่วยให้คุณได้ประโยชน์จากการเติบโตในภูมิภาคอื่นๆ

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ การปรับพอร์ตของคุณให้มีระดับความเสี่ยงที่สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินและความสามารถในการรับความเสี่ยงของคุณ โดยพอร์ตที่มีความเสี่ยงสูงกว่า มักจะเน้นไปที่หุ้น ซึ่งมีคุณสมบัติของการเติบโตระยะยาว ในขณะที่พอร์ตแบบ Conservative จะให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงมากกว่า เช่น ตราสารหนี้ และเมื่อคุณกระจายการลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่คุณรู้สึกสบายใจ นั่นหมายความว่าคุณกำลังสร้างแผนการเงินที่คุณสามารถยึดถือและทำตามได้ในระยะยาว
โอกาสแบบนี้ไม่ได้มาบ่อยๆ
ความผันผวนและการปรับตัวลงอย่างรุนแรงของตลาดในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา อาจทำให้นักลงทุนรู้สึกหวั่นไหว แต่ในอีกมุมหนึ่ง เหตุการณ์นี้ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากที่คุณจะแสดงจุดยืนที่แตกต่างจากนักลงทุนทั่วไป เพราะหากย้อนดูประวัติศาสตร์ ตลาดที่ร่วงแรงในระดับนี้เกิดขึ้นเพียง 4 ครั้งในรอบ 40 ปีเท่านั้น
ดังนั้น คุณอาจลองพิจารณาว่าคุณอยากจะอยู่ฝั่งไหนของประวัติศาสตร์ เพราะความผันผวนในตลาดไม่ใช่สิ่งที่ควรกลัว แต่ควรมองว่าเป็นโอกาสในการเพิ่มการลงทุนแบบ DCA และกระจายการลงทุนให้ดียิ่งขึ้น เพื่อมุ่งหน้าสู่อิสรภาพทางการเงินในระยะยาว
*หมายเหตุ:
การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน; ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต; การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน