ลงทุนในดัชนี S&P 500 อย่างเดียวก็พอจริงหรือ?

เมื่อปีที่แล้ว ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นมากกว่า 23% ทำให้การลงทุนใน ETF ที่ติดตามดัชนีหลักอย่าง S&P 500 ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะเป็นตัวเลือกที่ง่าย ให้ผลตอบแทนแข็งแกร่ง มีการกระจายการลงทุนที่ดี และมีค่าธรรมเนียมต่ำ แล้วอย่างนั้น ทำไมเราไม่เอาเงินทั้งหมดไปลงทุนในดัชนีนี้ตัวเดียวล่ะ?
ความน่าดึงดูดของดัชนี S&P 500 ค่อนข้างชัดเจน เพราะดัชนีนี้จะทำให้นักลงทุนมีส่วนร่วมกับการเติบโตของ 500 บริษัทชั้นนำของสหรัฐ ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกมาอย่างยาวนาน ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 9% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าการลงทุนใน S&P 500 เพียงอย่างเดียวน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับกลยุทธ์การลงทุนของคุณ?
ข่าวดี: การลงทุนใน S&P 500 ดีกว่าการไม่ลงทุนเลย
หากคุณนำเงิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐมาลงทุนใน S&P 500 เมื่อ 20 ปีที่แล้ว วันนี้คุณจะมีเงินกว่า 560,000 ดอลลาร์ฯ ซึ่งแน่นอนว่าดีกว่าการเก็บเงินสดไว้เฉยๆ ยกตัวอย่างในสิงคโปร์ที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2% ต่อปี หากคุณฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ย 1% ต่อปี มูลค่าที่แท้จริงของเงินฝากของคุณจะลดลงเฉลี่ยปีละ 1%
การลงทุนใน S&P 500 ยังเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการเลือกหุ้นรายตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก แม้แต่นักลงทุนมืออาชีพยังไม่สามารถเลือกหุ้นได้ถูกตัวเสมอ เห็นได้จากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีกองทุนหุ้นสหรัฐแบบ Active เพียง 15% เท่านั้นที่สามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่ากองทุนแบบ Passive และต้องไม่ลืมว่ากองทุนแบบ Active มักมีค่าธรรมเนียมสูงกว่า ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียมแรกเข้า ค่าธรรมเนียมการจัดการปีละ 1-2% รวมถึงค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆ ที่ค่อยๆ กัดกินผลตอบแทนของคุณ
สรุปคือ การลงทุนในดัชนี S&P 500 เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ไม่เลวเลย
ข่าวที่ไม่ค่อยดี: S&P 500 อาจไม่ได้กระจายความเสี่ยงอย่างที่คิด
แม้ว่าดัชนี S&P 500 จะประกอบไปด้วยบริษัทระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจในหลายประเทศ แต่ 71% ของรายได้ของบริษัทเหล่านี้ยังคงมาจากสหรัฐ ดังนั้น การลงทุนในดัชนี S&P 500 เพียงอย่างเดียวจึงอาจทำให้คุณพลาดโอกาสในตลาดอื่นๆ เช่น กลุ่มตลาดเกิดใหม่และทวีปเอเชีย
ยิ่งไปกว่านั้น ในปัจจุบัน ดัชนี S&P 500 มีการกระจุกตัวในกลุ่มเทคโนโลยีมากกว่าในอดีต โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีสัดส่วนถึง 40% ของดัชนี เมื่อเทียบกับกลุ่มการเงินที่มีสัดส่วน 20% ในช่วงทศวรรษ 1990-2000
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่ม ‘Magnificent Seven’ หรือบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุด 7 แห่ง (Apple, Microsoft, Amazon, Nvidia, Alphabet, Meta และ Tesla) มีมูลค่าตลาดรวมกันถึง 28% ของดัชนี S&P 500 ขณะที่ในปี 1990 บริษัทที่ใหญ่ที่สุด 7 อันดับแรก เช่น IBM และ ExxonMobil มีสัดส่วนเพียง 15.4% เท่านั้น
แม้ว่าหุ้นเทคโนโลยีจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดในช่วงที่ผ่านมา แต่การกระจุกตัวในกลุ่มธุรกิจเดียวมากเกินไปอาจเป็นการเพิ่มความผันผวน เพราะหากหุ้นเทคโนโลยีปรับฐานลง ก็จะส่งผลกระทบต่อพอร์ตของคุณอย่างหนัก ตัวอย่างเช่น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา การเปิดตัวโมเดล AI ต้นทุนต่ำของ DeepSeek ทำให้ตลาดเกิดความกังวล ส่งผลให้หุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว และทำให้ดัชนี S&P 500 ลดลงถึง 1.5% ภายในวันเดียว
นอกจากนี้ การลงทุนในดัชนี S&P 500 เพียงอย่างเดียว อาจทำให้คุณพลาดโอกาสได้รับผลตอบแทนจากกลุ่มธุรกิจอื่น เช่น ภาคการเงิน ซึ่งอาจได้ประโยชน์จากนโยบายการคลังที่ขยายตัวมากขึ้นในปีนี้
ความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
ไม่ใช่แค่ความเสี่ยงของการกระจุกตัวเท่านั้น แต่ความสามารถในการรับความเสี่ยงของคุณก็มีผลต่อกลยุทธ์การลงทุนเช่นกัน เพราะแม้ว่าดัชนี S&P 500 จะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แต่เส้นทางก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ซึ่งหากคุณต้องการเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากตลาดในระยะยาว คุณก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความผันผวนในตลาดได้
ย้อนกลับไปในช่วง Covid-19 ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 34% ภายในเวลาเพียง 5 สัปดาห์ หรือในปี 2022 ที่ดัชนีปรับตัวลดลง 25% นับตั้งแต่เดือน ม.ค. ถึงเดือน ต.ค. จากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ คำถามคือ คุณสามารถอดทนต่อความผันผวนและลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ตลาดปรับตัวลงได้หรือไม่?
หากคำตอบคือ "ใช่" คุณอาจจัดพอร์ตให้มีการลงทุนในหุ้น 100% แต่ก็ควรพิจารณาการกระจายการลงทุนในตลาดโดยรวมมากขึ้น หากคำตอบคือ "ไม่" การเพิ่มสินทรัพย์อื่น เช่น พันธบัตรและทองคำ อาจช่วยลดความเสี่ยงในพอร์ตของคุณได้
ทองคำเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดี เนื่องจากมีความสัมพันธ์ค่อนข้างต่ำกับหุ้นในช่วงเวลาปกติ และมักเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับหุ้นเมื่อตลาดอยู่ในช่วง Bull Run โดยเฉพาะในช่วงที่เงินเฟ้อสูง เช่นในปี 2024 ทองคำปรับตัวขึ้นเกือบ 27% ซึ่งช่วยสนับสนุนผลตอบแทนในพอร์ต General Investing ของเราที่มีสัดส่วนของทองคำเฉลี่ย 7.2% ในทุกระดับความเสี่ยง
การกระจายการลงทุนไม่จำเป็นต้องซับซ้อน
การลงทุนใน ETF ที่ติดตามดัชนีตลาดโดยรวมถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่หากต้องการพอร์ตที่กระจายการลงทุนอย่างแท้จริง คุณควรพิจารณาการทำ Asset Allocation ในหลากหลายสินทรัพย์ กลุ่มธุรกิจและภูมิภาค