ผลการดำเนินงาน Q1/2024 ของ StashAway
ใน Q1/2024 เศรษฐกิจโลกที่ยังทนทานต่ออัตราดอกเบี้ยระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี ส่งผลดีต่อตลาดหุ้น แต่เป็นตัวฉุดรั้งตลาดตราสารหนี้ ทำให้เราได้เห็นความแตกต่างระหว่างผลตอบแทนของตลาดหุ้นกับตลาดตราสารหนี้ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม พอร์ตของเราที่บริหารโดยกลยุทธ์การลงทุน ERAA™ ยังทำผลตอบแทนได้อย่างแข็งแกร่ง และสูงกว่า Same-risk Benchmark* โดยเฉลี่ย
สำหรับไตรมาสแรกของปี 2024 แม้อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูงและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่น่ากังวลมากขึ้น แต่ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐ ยังเป็นปัจจัยสนับสนุน Sentiment ของนักลงทุนและราคาหุ้น รวมถึงผลประกอบการที่แข็งแกร่งของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะกลุ่ม Magnificent Seven ยังช่วยสนับสนุนตลาดหุ้นสหรัฐต่อไป
อย่างไรก็ตาม ความทนทานของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับเงินเฟ้อที่ยังยืดเยื้อ กลับส่งผลตรงกันข้ามต่อตลาดตราสารหนี้ โดยความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกได้เปลี่ยนแปลงไปในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบัน ตลาดได้ Price In ความเป็นไปได้ที่ Fed อาจเลื่อนการลดดอกเบี้ยออกไป และอาจลดดอกเบี้ยน้อยลงกว่าที่คาดไว้ในปีนี้ ส่งผลให้ตลาดตราสารหนี้ทำผลตอบแทนได้ไม่ดีนัก
ทั้งนี้ หุ้นโลกให้ผลตอบแทนอย่างแข็งแกร่งที่ +8.3% ใน Q1/2024 ขณะที่ผลตอบแทนจากตราสารหนี้โลกอยู่ที่ -2.4% ในช่วงเวลาเดียวกัน
แล้วผลการดำเนินงานของ StashAway ใน Q1/2024 เป็นอย่างไร เราสรุปไว้ในบทความนี้:
- พอร์ต General Investing และ Goal-based Investing (ใช้พอร์ตบริหารเดียวกันจึงสามารถดูผลการดำเนินงานร่วมกันได้)
- Thematic Portfolio
พอร์ต General Investing และ Goal-based Investing
ใน Q1 พอร์ต General Investing (GI) ของ StashAway มีผลตอบแทนเป็นบวกในทุกระดับความเสี่ยง StashAway Risk Index (SRI) และสูงกว่า Same-risk Benchmark* โดยเฉลี่ย
โดย พอร์ต GI ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ +3.3% ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับ Same-risk Benchmark* ที่ +2.5% โดยเฉลี่ย
หุ้นเทคโนโลยี หุ้น Large-cap และหุ้น Healthcare ช่วยขับเคลื่อนผลตอบแทนจากหุ้นใน Q1
หุ้นทั่วโลกยังคงปรับตัวขึ้นในช่วงต้นปี 2024 เนื่องจากเศรษฐกิจยังมีความทนทาน และการปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐ ปัจจัยเหล่านี้ช่วยสนับสนุนผลตอบแทนในพอร์ตของเรา โดยเฉพาะพอร์ตที่ SRI สูงกว่า ซึ่งมีสัดส่วนของหุ้นมากกว่า
นอกจากนี้ สัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare ของ ERAA™ ยังช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับพอร์ต เนื่องจากหุ้นในกลุ่มธุรกิจนี้ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งนับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งอาจเป็นผลมาจากราคาหุ้นที่น่าดึงดูดและโอกาสเติบโตในระยะยาว
นอกจากหุ้นสหรัฐ ผลตอบแทนที่แข็งแกร่งของหุ้นญี่ปุ่น ยังช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานในพอร์ตของเรา เนื่องจากการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและภาคเอกชน ทำให้นักลงทุนทั่วโลกกลับมาสนใจตลาดหุ้นญี่ปุ่นอีกครั้ง
ตราสารหนี้ระยะสั้นช่วยชดเชยตราสารหนี้ระยะยาว
สำหรับตราสารหนี้ การที่ ERAA™ ยังคง Overweight พันธบัตรสหรัฐระยะสั้นในพอร์ตที่มี SRI ต่ำ-ปานกลาง เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผลตอบแทนของเราสูงกว่า Same-risk Benchmark* โดยอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐยังอยู่ในระดับสูง ทำให้สินทรัพย์ประเภทนี้ยังคงน่าดึงดูด เนื่องจากให้ Yield ในระดับสูงและมีความเสี่ยงต่ำ
ผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐระยะสั้น ได้ช่วยชดเชยการปรับตัวลงของราคาตราสารหนี้ระยะยาวของสหรัฐและของประเทศพัฒนาแล้ว (DM) ใน Q1 เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ทำให้การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกอาจต้องเลื่อนออกไป หรือในกรณีของญี่ปุ่นที่ตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาอยู่ในแดนบวกเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 8 ปี
การปรับตัวขึ้นของทองคำช่วยขับเคลื่อนผลตอบแทนใน Q1
ใน Q1 การที่ ERAA™ ยังคง Overweight ทองคำ เป็นอีกแรงขับเคลื่อนหลักของผลตอบแทนในพอร์ตของเรา โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ทองคำให้ผลตอบแทนอยู่ที่ +7.6% ในสกุลเงินดอลลาร์ฯ และในระยะข้างหน้า ความเป็นไปได้ในการลดดอกเบี้ย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการกว้านซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนโลหะมีค่าชนิดนี้ต่อไป
ตลาดเผชิญความผันผวนตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แต่พอร์ตของ StashAway ยังให้ผลตอบแทนสูงกว่า Benchmark*
ใน Q1 พอร์ตของเราเผชิญความผันผวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ Same-risk Benchmark* โดยพอร์ต GI ของเรา มีค่าความผันผวน (Volatility) โดยเฉลี่ยที่ 4.7% ซึ่งน้อยกว่า Benchmark* ที่ 6.1% ในสกุลเงินดอลลาร์ฯ
ดังนั้น Risk-adjusted Return (ผลตอบแทนปรับด้วยความเสี่ยง) ของเราจึงสูงกว่า Same-risk Benchmark* ที่ 1.8 ต่อ 1.0 โดยเฉลี่ย
เมื่อพอร์ตของเราเผชิญความผันผวนน้อยกว่า ก็จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าและมี Drawdown (การลดลงจากจุดสูงสุดถึงจุดต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่ง) ต่ำกว่าในช่วงที่ตลาดปรับตัวลง ซึ่งในระยะยาว จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น
ตารางด้านล่างแสดงให้เห็นว่า การลด Drawdown ช่วยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในพอร์ตของเราดีกว่า Benchmark* ถึง 5.6 จุดโดยเฉลี่ยในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดผันผวนสูงมาก
Thematic Portfolio
การปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี ยังช่วยสนับสนุน Thematic Portfolio ของเราในช่วงต้นปี 2024 โดยธีม Technology Enablers และ Future of Consumer Tech มีผลตอบแทนเป็นบวกอย่างแข็งแกร่งใน Q1 ขณะที่ ธีม Healthcare Innovation และ Environment and Cleantech มีผลตอบแทนเป็นบวกเช่นกัน
Technology Enablers
ใน Q1 ธีม Technology Enablers ทำผลตอบแทนที่ +5.9% โดยเฉลี่ยในสกุลเงินดอลลาร์ฯ
ทั้งนี้ การที่นักลงทุนโดยรวมยังให้ความสนใจหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ช่วยสนับสนุนผลตอบแทนในธีมนี้ต่อไป โดยกลุ่มธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ เป็นแรงขับเคลื่อนหลักในไตรมาสแรกของปีนี้ ส่วนกลุ่มธุรกิจบล็อกเชนและคลาวด์คอมพิวติ้ง ให้ผลตอบแทนเป็นบวกเช่นกัน แม้กลุ่มเทคโนโลยี Autonomous และโรโบติกส์ จะเป็นตัวฉุดรั้งผลตอบแทนในธีมนี้ เพราะได้รับผลกระทบจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงอย่างมากของบางบริษัทอย่าง Tesla ขณะที่ สินทรัพย์ปรับสมดุล (Balancing Assets) อย่างพันธบัตรสหรัฐระยะสั้นและทองคำ ยังช่วยสนับสนุนผลตอบแทนในธีมนี้ และชดเชยการปรับตัวลงของตราสารหนี้ระยะยาว
Future of Consumer Tech
ใน Q1 ธีม Future of Consumer Tech ทำผลตอบแทนที่ +2.7% โดยเฉลี่ยในสกุลเงินดอลลาร์ฯ
ธีม Future of Consumer Tech ได้ประโยชน์จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในไตรมาสแรกของปีนี้เช่นกัน โดยกลุ่มธุรกิจ E-sport และเกมมิ่งทำผลตอบแทนได้สูงสุดในธีม ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากการมี Exposure ในกลุ่มผู้ผลิตชิปอย่าง AMD ส่วนกลุ่มธุรกิจ FinTech เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของธีมนี้เช่นกัน เพราะกระแส Cryptocurrency ช่วยสนับสนุนราคาหุ้นของบริษัทอย่าง Coinbase ขณะที่ การมีสัดส่วนในพันธบัตรสหรัฐระยะสั้นและทองคำ ยังช่วยสนับสนุนผลตอบแทนในธีมนี้อีกด้วย
Healthcare Innovation
ใน Q1 ธีม Healthcare Innovation ทำผลตอบแทนที่ +0.9% โดยเฉลี่ยในสกุลเงินดอลลาร์ฯ
กลุ่มธุรกิจเภสัชกรรมและ Global Healthcare ทำผลตอบแทนสูงสุดในธีมนี้ เนื่องจากนวัตกรรมยารักษาโรคอ้วนและเบาหวาน ช่วยให้ราคาหุ้นของบริษัทอย่าง Eli Lilly และ Novo Nordisk ปรับตัวขึ้น ซึ่งช่วยชดเชยผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจจีโนมิกส์ ขณะที่สินทรัพย์ปรับสมดุลอย่างพันธบัตรสหรัฐระยะสั้นและทองคำ ช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยเฉพาะพอร์ตที่มี SRI ต่ำกว่า
Environment and Cleantech
ใน Q1 ธีม Environment and Cleantech ทำผลตอบแทนที่ +0.4% โดยเฉลี่ยในสกุลเงินดอลลาร์ฯ
กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีการจัดการน้ำและสิ่งแวดล้อม รวมถึงระบบกักเก็บพลังงานและ Smart Grid ทำผลตอบแทนสูงสุดในธีมนี้ ซึ่งช่วยชดเชยการปรับตัวลงของกลุ่มพลังงานลมและแสงอาทิตย์ ขณะที่ การมีสัดส่วนในตราสารหนี้สีเขียวและพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับตลาดตราสารหนี้โดยรวม
*หมายเหตุ:
Benchmark ที่เราใช้ในการเปรียบเทียบมาจาก MSCI All Country World Equity Index TRI ในส่วนของหุ้น และใช้ FTSE World Government Bond TRI ในส่วนของตราสารหนี้ โดยนํ้าหนักของ Benchmark ที่เราใช้จะมีค่าความผันผวนที่เกิดขึ้นจริง (Realized Volatility) ในระยะเวลา 10 ปีเท่ากับระดับความเสี่ยง StashAway Risk Index
ผลตอบแทนของโมเดลพอร์ตนี้เป็นมูลค่าทั้งหมดก่อนหักค่าธรรมเนียม ภาษีมูลค่าเพิ่ม และการขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่ายของเงินปันผล โดยแบบจำลองผลการดำเนินงานนี้ทำเพื่อชี้วัดประสิทธิภาพของกลยุทธ์การลงทุน ไม่รวมปัจจัยอื่นๆ
ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงในบัญชีอาจแตกต่างจากโมเดลพอร์ต ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาดำเนินการซื้อขาย, ความแตกต่างของช่วงเวลาและความผันผวนระหว่างวันในการทำ Re-optimisation และการทำ Rebalancing, ค่าธรรมเนียม, ภาษีของเงินปันผล (และการขอคืนภาษี) และอื่นๆ โดยผลตอบแทนอยู่ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน; ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ข้อมูลนี้ไม่ถือเป็นคำเสนอ คำแนะนำ คำเชื้อเชิญ หรือการชักชวนให้ท่านซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หรือเข้าทำธุรกรรมใดๆ
ข้อมูลนี้ไม่ได้จัดเตรียมขึ้นโดยคำนึงถึงสถานการณ์ส่วนบุคคลของท่าน (เช่น วัตถุประสงค์การลงทุน สถานการณ์ทางการเงิน หรือความต้องการโดยเฉพาะ) ท่านควรขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาด้านการเงิน บัญชี ภาษี กฎหมาย และด้านอื่น ๆ ของท่านเอง