Weekly Buzz: สร้างพอร์ตให้สมดุลด้วยกลยุทธ์ ‘Core & Satellite’ 🛠️

การลงทุนคือเรื่องของการสร้างสมดุล เพื่อให้พอร์ตเติบโตได้โดยไม่เผชิญความเสี่ยงมากเกินไป ซึ่งการจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite สามารถตอบโจทย์ข้อนี้ได้ โดย Core Portfolio จะประกอบไปด้วยสินทรัพย์หลักที่มั่นคง และมุ่งสร้างผลตอบแทนระยะยาว ส่วน Satellite Portfolio คือ พอร์ตเสริมที่จะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน
สิ่งที่นักลงทุนจะได้คือ พอร์ตหลักที่มีต้นทุนต่ำ กระจายการลงทุนได้ดี เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคง พร้อมกับความยืดหยุ่นในการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นและมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงขึ้นเช่นกัน
สร้าง Core Portfolio ให้แข็งแกร่ง
Core Portfolio เปรียบเสมือนฐานรากของการลงทุน ประกอบไปด้วยการลงทุนที่มีค่าธรรมเนียมต่ำและมีการกระจายการลงทุนที่ดี ซึ่งจะช่วยให้คุณได้รับผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดย ETF ที่ติดตามดัชนีหลัก เช่น S&P 500 หรือตลาดหุ้นโลก เป็นการลงทุนที่เหมาะสำหรับ Core Portfolio เพราะช่วยกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในหุ้นหลายร้อยหรือหลายพันบริษัท ขณะที่ตราสารหนี้และทองคำ ก็เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยเพิ่มความสมดุลและลดความผันผวนให้กับพอร์ตได้
นักลงทุนควรมองหาการลงทุนที่เข้าใจง่ายและมีค่าธรรมเนียมต่ำ ซึ่งโดยปกติแล้ว ETF มักมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่ากองทุนแบบ Active จึงเหมาะที่จะใช้เป็นแกนหลักสำหรับการลงทุนของคุณ (เช่น พอร์ต General Investing ของเรา) โดย Core Portolfio จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ช่วยสร้างความมั่งคั่งให้คุณอย่างมั่นคง โดยไม่ต้องมีการบริหารจัดการมากนัก
เสริมด้วย Satellite Portfolio
เมื่อคุณมี Core Portfolio ที่แข็งแกร่งแล้ว คุณสามารถสร้าง Satellite Portfolio เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดย Satellite Portfolio จะช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นในการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพเติบโตสูง ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมเฉพาะทาง ตลาดเกิดใหม่ หรือเทคโนโลยีล้ำสมัย
ETF ที่ลงทุนตามธีม เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับ Satellite Portfolio หากคุณมองเห็นเทรนด์ระยะยาวแต่ไม่ต้องการเลือกหุ้นรายตัว คุณก็อาจกระจายการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูง เช่น AI พลังงานสะอาด หรือ Healthcare ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัว แต่ยังพร้อมคว้าโอกาสจากเทรนด์ใหญ่ของโลก (เช่น Thematic Portfolio ของเรา)
คำแนะนำของเราคือ Satellite Portfolio ควรมีสัดส่วนเล็กกว่าที่ราว 20%-30% ของพอร์ตทั้งหมด ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ ด้วยวิธีนี้แม้ว่าบางสินทรัพย์จะผันผวนหรือให้ผลตอบแทนต่ำกว่าคาด แต่ Core Portfolio จะยังช่วยให้แผนการเงินของคุณเดินหน้าต่อไปได้

Key Takeaway
การสร้างสมดุลคือกุญแจสำคัญ เพราะ Satellite Portfolio อาจมีความเสี่ยงสูงกว่า ดังนั้นการมีกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้ว่า ETF ที่ลงทุนตามธีมหรือกลุ่มธุรกิจที่เติบโตสูง จะดูน่าสนใจ แต่เทรนด์ของตลาดสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ธีมที่ให้ผลตอบแทนอย่างแข็งแกร่งในปีนี้ อาจสูญเสีย Momentum ในปีหน้า
ในระยะยาว สินทรัพย์แต่ละประเภทจะให้ผลตอบแทนแตกต่างกันไป ทำให้สัดส่วน Core & Satellite อาจเปลี่ยนแปลงไปจากแผนเดิมและเพิ่มความเสี่ยงให้พอร์ตของคุณมากขึ้น ดังนั้นการปรับพอร์ตเป็นระยะด้วยการลดสัดส่วนของสินทรัพย์ที่เติบโตมากเกินไป และนำเงินกลับไปลงทุนใน Core Portfolio จะช่วยให้คุณควบคุมความเสี่ยงได้ดีขึ้น
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนสายปลอดภัยที่กำลังมองหาโอกาสเพิ่มผลตอบแทน หรือนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก แต่ต้องการสร้างสมดุลให้พอร์ต กลยุทธ์ Core & Satellite จะช่วยให้คุณมีแผนการลงทุนที่ยืดหยุ่นและเป็นระบบมากขึ้น เพราะในท้ายที่สุดแล้ว การลงทุนไม่ใช่แค่การเลือกระหว่างความปลอดภัยกับการเติบโต แต่เป็นการหาจุดสมดุลที่ใช่สำหรับคุณ
เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize
📖 รอบรู้เรื่องลงทุน: จุดเริ่มต้นกลยุทธ์ Core & Satellite

กลยุทธ์ Core & Satellite ถูกพัฒนาขึ้นควบคู่ไปกับการลงทุนแบบ Passive และยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นหลังฟองสบู่ดอทคอมแตก ซึ่งให้บทเรียนสำคัญเรื่องความเสี่ยงของการกระจุกตัวมากเกินไป โดยหนึ่งในกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอย่างกองทุนบำเหน็จบำนาญของนอร์เวย์ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็ใช้กลยุทธ์นี้ในระดับมหภาค โดยมี Core Portfolio ที่กระจายการลงทุนในตลาดโดยรวม พร้อม Satellite Portfolio ที่ลงทุนแบบเฉพาะเจาะจงในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพเติบโตสูง