Weekly Buzz: 🐅 หุ้นอินเดียแตะระดับ 4 ล้านล้านดอลลาร์
ตลาดหุ้นอินเดียเพิ่งทำสถิติใหม่ หลังปรับตัวขึ้นจนมีมูลค่าตลาดมากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในช่วงไม่ถึง 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่สุดอันดับ 5 ของโลกแห่งนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำลังขยับเข้าใกล้ตลาดหุ้นฮ่องกงเข้าไปเรื่อยๆ
การเติบโตอย่างต่อเนื่องของอินเดีย
แม้เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวและรัฐบาลอินเดียยังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหลายครั้งเพื่อรักษาค่าเงินรูปีและควบคุมเงินเฟ้อ แต่เศรษฐกิจอินเดียยังสามารถขยายตัวได้ถึง 7.6% ในช่วง Q3 ที่ผ่านมา
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตอย่างต่อเนื่อง คือ ประชากร โดยอินเดียได้กลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ซึ่งประชากรวัยหนุ่มสาวที่กำลังขยายตัว กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปัจจุบันอินเดียมีประชากรวัยทำงานราว 961 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นอีก 158 ล้านคนภายในปี 2050
รายได้ที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นของประชากรวัยทำงานจำนวนมหาศาลนี้ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย โดย PRICE กลุ่ม Think Tank ของอินเดีย ประเมินว่าครอบครัวชนชั้นกลางและกลาง-บนจะช่วยเพิ่มการใช้จ่ายมากถึง 2.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งใกล้เคียงกับ GDP ของฝรั่งเศสทั้งประเทศ
เมื่อเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดี นักลงทุนจึงให้ความสนใจอินเดียจนมูลค่าตลาดหุ้นอินเดียขึ้นไปแตะระดับ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในที่สุด
หุ้นอินเดียแพงไปหรือยัง?
เวลาเราซื้อสินค้าใดๆ ก็ตาม เราก็ควรจ่ายเงินตามมูลค่าแท้จริงของสินค้านั้นๆ เช่นเดียวกับหุ้นที่ราคาควรสะท้อนมูลค่าแท้จริง คือศักยภาพในการทำกำไร ซึ่งในปัจจุบัน ราคาหุ้นอินเดียดูเหมือนจะอยู่ในระดับสูงแล้ว
เห็นได้จากตารางด้านล่างที่เปรียบเทียบดัชนี MSCI India กับดัชนี MSCI Emerging Market, Asia-Pacific และ World พบว่าค่า P/E Premium ของดัชนี MSCI India ทั้งในปัจจุบันและค่าเฉลี่ย 10 ปี อยู่สูงกว่าทั้ง 3 ภูมิภาค อยู่พอสมควร
อย่างไรก็ตาม การที่ตลาดให้ค่า Premium ของอินเดียมากกว่า อาจหมายความว่าอินเดียมีศักยภาพในการเติบโตและสภาพเศรษฐกิจดีกว่าภูมิภาคอื่นๆ บริษัทอินเดียจึงมีโอกาสเติบโตได้ตามมูลค่าที่นักลงทุนมองไว้
ทั้งนี้ โครงสร้างพื้นฐานของอินเดียในปัจจุบันดูดีกว่าเมื่อทศวรรษที่แล้วค่อนข้างมาก โดยนอกจากชนชั้นกลางที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว รัฐบาลอินเดียยังสามารถควบคุมเงินเฟ้อและปฏิรูปเศรษฐกิจได้ดีตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา (อ่านเพิ่มเติมได้ใน CIO Insights ‘ทำไม ‘อินเดีย’ ถึงน่าสนใจสำหรับนักลงทุน’)
เรื่องนี้ส่งผลต่อนักลงทุนอย่างไร?
แม้จะมีความท้าทายรออยู่ในระยะข้างหน้า แต่อินเดียมีโอกาสที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่นักลงทุนจะให้ความสนใจจนตลาดหุ้นอินเดียมีมูลค่าตลาดมากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐแล้วในขณะนี้ ดังนั้นหากคุณอยากมีส่วนร่วมกับการเติบโตครั้งนี้ คุณอาจเลือกลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียผ่าน Flexible Portfolio ของเรา
อย่างไรก็ตาม การลงทุนที่ดีไม่ควรเน้นตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป โดยเฉพาะประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างอินเดีย และหากคุณลงทุนในตลาดเกิดใหม่อยู่แล้ว คุณก็อาจมีสัดส่วนในอินเดียอยู่แล้วพอสมควร ดังนั้นคุณควรพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่าอยากมี Exposure ในอินเดียมากน้อยแค่ไหนก่อนตัดสินใจลงทุน
เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize
💡 Investors’ Corner: หุ้นและตราสารหนี้มักทำผลตอบแทนได้ดีกว่าเงินสดในช่วง Fed พักขึ้นดอกเบี้ย
ในขณะที่เศรษฐกิจกำลังชะลอตัว เงินเฟ้อยังคงยืดเยื้อและอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ จึงเป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนจำนวนมากหันไปถือเงินสดเพื่อความสบายใจ
แต่ในปัจจุบัน เมื่อ Fed แสดงท่าทีว่าวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ทำให้นักลงทุนที่ถือเงินสดเพื่อรอความชัดเจนของ Fed อาจพลาดโอกาสลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ไปอย่างน่าเสียดาย
ตารางด้านบนแสดงให้เห็นผลตอบแทนของหุ้น ตราสารหนี้และเงินสดในช่วงเวลาต่างๆ ของวงจรการขึ้น-ลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed โดยในช่วงที่ Fed กำลังพักการขึ้นดอกเบี้ยเหมือนในปัจจุบัน หุ้นและตราสารหนี้มักทำผลตอบแทนได้ดีกว่าเงินสดมาก
อย่างไรก็ตาม อาจยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า Fed จะลดดอกเบี้ยลงในเร็วๆ นี้ และ Fed ไม่น่าจะพักการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไว้นาน เพราะวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 5 ครั้งนับตั้งแต่ปี 1990 พบว่า Fed ใช้เวลาคงอัตราดอกเบี้ยไว้แค่ราว 10 เดือนเท่านั้นก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง
เศรษฐกิจจึงอาจเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปในปีหน้า (รออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน CIO Insights ‘H1/2024 Market Outlook’) ซึ่งอาจส่งผลให้หุ้นมีโอกาสทำผลตอบแทนได้ดีในอนาคตอันใกล้นี้
🎓 Jargon Buster: มูลค่าตลาด
Market Valuation หรือมูลค่าตลาด คือ การนำราคาหุ้นในปัจจุบันมาคูณด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทนั้นๆ ผลลัพธ์ที่ได้คือมูลค่าตลาด ซึ่งจะบอกขนาดของแต่ละบริษัท และหากนำมูลค่าตลาดของแต่ละบริษัทมารวมกัน ก็จะได้มูลค่าของตลาดหุ้นโดยรวมนั่นเอง