Weekly Buzz: สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของ Trump 🌎

Donald Trump เดินหน้าบังคับใช้ภาษีนำเข้า 25% กับเม็กซิโกและแคนาดา ก่อนที่ผู้นำประเทศจะหันมาเจรจากันจนสามารถชะลอมาตรการนี้ออกไปได้อีก 1 เดือน แล้วอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้?
ทำไมต้องเพิ่มภาษีนำเข้า?
Trump คาดหวังว่าการทำให้สินค้านำเข้าแพงขึ้น จะช่วยให้สินค้าที่ผลิตในสหรัฐมีความน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งตามทฤษฎีแล้วการเคลื่อนไหวครั้งนี้ก็อาจช่วยกระตุ้นยอดขายให้บริษัทสหรัฐและสร้างงานมากขึ้น แต่ความเป็นจริงซับซ้อนกว่านั้นมาก เพราะการย้าย Supply Chain ทั่วโลก และการสร้างโรงงานใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย
การเพิ่มภาษีนำเข้า ยังหมายถึงต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสำหรับธุรกิจในสหรัฐ และต้นทุนเหล่านี้จะถูกส่งต่อให้ผู้บริโภคที่จะต้องจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าและบริการที่มีราคาสูงขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นในช่วงที่ Fed กำลังพยายามรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงของการตอบโต้จากประเทศอื่นๆ โดยบรรดาคู่ค้าของสหรัฐได้ส่งสัญญาณแล้วว่าพวกเขาพร้อมจะใช้มาตรการภาษีกับสหรัฐเช่นกัน
Key Takeaway
เมื่อพิจารณาเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในรัฐบาล Trump สมัยแรก เราก็อาจคาดเดาได้ว่าจะมี Noise เกิดขึ้นมากมายในรัฐบาล Trump 2.0 ซึ่งอาจนำไปสู่ความผันผวนในตลาด อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนระยะยาว สิ่งสำคัญคือ การแยกแยะ ‘เสียงรบกวน’ ออกจาก ‘สัญญาณที่แท้จริง’ เพราะหากข้อมูลเศรษฐกิจยังไม่ได้แสดงว่าตัวเลขการเติบโตนั้นน่ากังวล การยึดมั่นในแผนการลงทุนระยะยาวก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
การลงทุนในพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดี ทั้งในสินทรัพย์เติบโต เช่น หุ้น และสินทรัพย์ปรับสมดุล เช่น ทองคำ ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุด ตัวอย่างเช่น พอร์ต General Investing ของเราที่มีสัดส่วนของทองคำในทุกระดับความเสี่ยง ซึ่งทองคำได้ปรับตัวขึ้นแล้วราว 9% YTD ท่ามกลางความผันผวนของตลาด
ทั้งนี้ คุณ Stephanie Leung, Group CIO ของเรา ได้ไปร่วมแชร์มุมมองกับ Bloomberg เกี่ยวกับการก้าวข้ามความผันผวนในตลาด ซึ่งนักลงทุนสามารถเอาไปปรับใช้ได้จริง
💡 Investors’ Corner: ทำไมปี 2025 อาจยังเป็นปีที่ดีของทองคำ?
ราคาทองคำยังคงพุ่งทำ All-time High อย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มในระยะข้างหน้ายังคงสดใส อะไรคือแรงขับเคลื่อนราคาของโลหะมีค่าชนิดนี้?
- เงินดอลลาร์สหรัฐ อาจอ่อนค่าลง
ทองคำและค่าเงินดอลลาร์ฯ มีความสัมพันธ์แบบตรงกันข้าม เนื่องจากทองคำในตลาดโลกถูกกำหนดราคาเป็นดอลลาร์ฯ ดังนั้น เมื่อเงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่า ทองคำจะน่าสนใจมากขึ้น และราคาก็มักจะปรับตัวสูงขึ้น
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้นจากวิกฤตเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ เงินเฟ้อในสหรัฐเริ่มชะลอตัว และ Fed ได้เริ่มลดดอกเบี้ยลงแล้ว ซึ่งอาจทำให้เงินดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลง และช่วยหนุนราคาทองคำ
- ทองคำได้รับผลกระทบน้อยลงจาก Real Yield
Real Yield คือ ผลตอบแทนจากพันธบัตรหลังปรับด้วยเงินเฟ้อ ซึ่งโดยปกติแล้ว เมื่อเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นเร็วกว่าดอกเบี้ย จะส่งผลให้ Real Yield ปรับตัวลดลง ขณะที่ ราคาทองคำมักปรับตัวสูงขึ้นเมื่อ Real Yield อยู่ในระดับต่ำ เพราะไม่มีต้นทุนค่าเสียโอกาสจากการถือครอง
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้เริ่มเปลี่ยนไป แม้ว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา แต่ราคาทองคำยังคงทรงตัวได้ดี และขณะนี้ดูเหมือนว่าทองคำจะมีแนวโน้มตอบสนองต่อ Real Yield แบบไม่สมมาตร อธิบายง่ายๆ คือ เมื่อ Yield สูงขึ้น ราคาทองคำปรับตัวลงเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อ Yield ลดลง ราคาทองคำกลับพุ่งขึ้นมากกว่าเดิม

- Demand ทองคำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่หนุนราคาทองคำ คือ แรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก ซึ่งเดินหน้าซื้อทองคำมากเป็นประวัติการณ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยผลสำรวจล่าสุดของ World Gold Council พบว่า 81% ของธนาคารกลางทั่วโลกมีแผนที่จะเพิ่มการถือครองทองคำต่อไป นั่นหมายความว่า Demand ของทองคำไม่น่าจะลดลงในเร็วๆ นี้

เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize
🎓 Simply Finance: ภาษีนำเข้า

Tariff หรือภาษีนำเข้า คือ ภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ ให้ลองนึกภาพด่านเก็บค่าทางด่วนที่เราต้องจ่ายเพื่อใช้เส้นทาง ขณะที่ บริษัทต่างๆ ก็ต้องจ่ายภาษีนำเข้าเพื่อขายสินค้าของตนในประเทศนั้นๆ โดยรัฐบาลอาจใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือในการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ หรือเพิ่มรายได้ให้รัฐ อย่างไรก็ตาม มาตรการลักษณะนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะภาษีนำเข้าจะทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น และอาจกระตุ้นให้ประเทศคู่ค้าตอบโต้ด้วยมาตรการทางภาษีเช่นกัน