Weekly Buzz: 🤖 ‘Magnificent Seven’ โตไม่หยุด พร้อมลงทุน AI มหาศาล

08 November 2024

แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงที่เวลาที่นักลงทุนทั่วโลกไม่อาจกระพริบตาได้ เนื่องจากอยู่ในฤดูรายงานผลประกอบการ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ (ติดตามได้ใน CIO Update บ่ายวันนี้) และการประกาศลดดอกเบี้ยอีกครั้งของ Fed (อ่านเพิ่มเติมได้ใน CIO Insights: อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ส่งผลต่อการลงทุนอย่างไร?)

ท่ามกลางเหตุการณ์เหล่านี้ เราได้เห็นภาพผลการดำเนินงานที่ชัดเจนมากขึ้นของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บรรดาบริษัทที่มีมูลค่าตลาดเกือบ 42% ของดัชนี S&P 500 ได้รายงานผลประกอบการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งปัจจุบัน หุ้นสหรัฐซื้อขายกันในราคาที่ค่อนข้าง Premium ดังนั้น นักลงทุนจึงคาดหวังผลประกอบการที่แข็งแกร่งจากบริษัทเหล่านี้ 

บรรดายักษ์ใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีไม่ได้ทำให้ตลาดผิดหวัง โดย Alphabet, Apple, Microsoft, Meta และ Amazon ต่างมีผลประกอบการที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ดังนี้

  • Amazon มีรายได้ 158,900 ล้านดอลลาร์และกำไรยังเพิ่มสูงขึ้นมาก เนื่องจากธุรกิจโฆษณาและธุรกิจคลาวด์อย่าง AWS ที่เติบโตขึ้น 19% YoY
  • Apple มีรายได้ 94,900 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6% YoY ซึ่งพวกเขาอาจไม่ใช่แค่ ‘บริษัท iPhone’ อีกต่อไป เพราะหากคิดเฉพาะธุรกิจบริการของ Apple เพียงอย่างเดียว ก็สามารถติดประมาณอันดับที่ 40 ใน Fortune 500 ได้
  • Alphabet บริษัทแม่ของ Google มีรายได้เติบโตขึ้น 15% แตะระดับ 88,300 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ค่อนข้างมาก
  • Microsoft มีรายได้เติบโต 16% YoY มาอยู่ที่ 65,600 ล้านดอลลาร์ โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากธุรกิจคลาวด์
  • Meta มีรายได้เพิ่มขึ้น 19% แตะระดับ 40,600 ล้านดอลลาร์ แม้ผู้ใช้งานจะเติบโตน้อยกว่าที่คาดไว้

อย่างไรก็ตาม ตลาดยังตอบรับด้วยความระมัดระวัง โดยดัชนี Nasdaq ที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ปรับตัวลดลง 2.8% ภายใน 1 สัปดาห์ ส่วนดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลง 1.9% ซึ่งมากที่สุดในรอบเกือบ 2 เดือน 

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนกังวลเรื่องการลงทุนใน AI จำนวนมหาศาล โดย Amazon, Alphabet, Microsoft และ Meta คาดว่าจะทุ่มเงินลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น Data Centre ถึง 56,000 ล้านดอลลาร์ใน Q3/2024 ซึ่งสูงขึ้น 52% YoY

💡 Investors’ Corner: ‘พลังงานนิวเคลียร์’ ทางออกปัญหาพลังงาน AI

ความต้องการไฟฟ้าทั่วโลกกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจาก Data Centre สำหรับ AI ที่ใช้พลังงานมหาศาล โดยในรายงานล่าสุดของ International Energy Agency (IEA) คาดการณ์ว่าเรากำลังเข้าสู่ ‘ยุคใหม่ของพลังงานไฟฟ้า’ โดยระหว่างปี 2023-2035 ความต้องการไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเกือบ 1,000 TWh ต่อปี ซึ่งเทียบเท่าการใช้ไฟฟ้าของทั้งประเทศญี่ปุ่นในแต่ละปี

นวัตกรรมใหม่ของพลังงานนิวเคลียร์

ปัจจุบัน รัฐบาลทั่วโลกกำลังมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ทำให้พลังงานนิวเคลียร์มีโอกาสเติบโตอย่างมาก โดยคาดกันว่าความสามารถในการผลิตพลังงานนิวเคลียร์ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 144% ภายในปี 2050

โดยราว 1 ใน 4 จะมาจาก Small Modular Reactor (SMR) หรือเตาปฏิกรณ์ขนาดเล็กที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับพลังงานนิวเคลียร์ โดย SMR สามารถผลิตในโรงงานและนำไปติดตั้งหน้างานได้ทันที ซึ่งแตกต่างจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบดั้งเดิมที่ต้องใช้เวลาก่อสร้างนานหลายปี

ข้อดีของ SMR คือ มีขนาดเล็กจนสามารถนำไปติดตั้งในจุดที่ต้องการพลังงานมหาศาลอย่าง Data Centre ได้ ซึ่งยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีก็เริ่มตระหนักถึงเรื่องนี้ โดย Google วางแผนจะใช้งาน SMR ตัวแรกภายในปี 2030 และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงปี 2035 ส่วน Amazon ตั้งเป้าจะติดตั้ง SMR ให้ผลิตพลังงานได้ถึง 5 GW ภายในปี 2039

Key Takeaway

พลังงานนิวเคลียร์ถือเป็นธีมการลงทุนระยะยาวที่ได้รับแรงขับเคลื่อนจากการที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคพลังงานสะอาด ดังนั้น นักลงทุนจึงควรพิจารณาลงทุนในธีมนี้ด้วยมุมมองระยะยาว ซึ่ง Flexible Portfolio ของเราอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม โดยคุณสามารถลงทุนใน Global X Uranium ETF (URA) ที่ครอบคลุมบริษัทในห่วงโซ่ธุรกิจพลังงานนิวเคลียร์ นับตั้งแต่การทำเหมืองแร่ยูเรเนียม ไปจนถึงการผลิตชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อเติบโตไปพร้อมกับเทรนด์พลังงานสะอาดที่กำลังมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อเศรษฐกิจโลก

เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize

🎓 Simply Finance: การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ คือ การคาดการณ์กำไรของบริษัทต่างๆ เปรียบเสมือนการพยากรณ์อากาศที่นักอุตุนิยมวิทยาจะศึกษาชั้นบรรยากาศเพื่อทำนายสภาพอากาศในวันพรุ่งนี้ ขณะที่ นักวิเคราะห์การเงินจะศึกษาผลการดำเนินงานของบริษัท แนวโน้มเศรษฐกิจ และข้อมูลอุตสาหกรรม เพื่อคาดการณ์รายได้และการเติบโต อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์เหล่านี้ แม้จะมีข้อมูลประกอบและวิเคราะห์มาแล้วอย่างรอบคอบ แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะถูกต้อง 100%


แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ