Weekly Buzz: 🥊 สงครามการค้าให้บทเรียนอะไรกับเรา?

07 March 2025

แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ

ปัจจุบัน Donald Trump กำลังวุ่นอยู่กับการออกมาตรการภาษีนำเข้า แม้จะมีหลายฝ่ายไม่เห็นด้วย ซึ่งเพียง 1 วันหลังจากสหรัฐยืนยันว่าจะเก็บภาษีนำเข้าจากเพื่อนบ้านอย่างแคนาดาและเม็กซิโก ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐได้ปรับตัวลง 1.76% ซึ่งเป็นวันที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ตลาดน่าจะรู้สึกผ่อนคลายได้บ้าง หลัง Howard Lutnick รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐ ออกมาส่งสัญญาณว่าอาจมีการยกเลิกมาตรการบางส่วนในอนาคต

ว่าด้วยเรื่องภาษีนำเข้า

  • สหรัฐเริ่มเก็บภาษี 25% กับสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งจะกระทบการค้ามูลค่ากว่า 900,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ขณะที่ แคนาดาตอบโต้ทันทีด้วยการเก็บภาษีสินค้าอเมริกัน มูลค่า 20,800 ล้านดอลลาร์ฯ และเตรียมเก็บภาษีเพิ่มอีก 86,800 ล้านดอลลาร์ฯ ในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า แต่ไม่นานหลังจากนั้น Lutnick ก็ออกมาส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ในการหาทางประนีประนอม 
  • ขณะที่ ยุโรปกำลังตกเป็นเป้าหมายถัดไป โดยสหรัฐจะเริ่มเก็บภาษี 25% กับสินค้านำเข้าจากยุโรปในเดือน เม.ย. โดยเฉพาะรถยนต์จากเยอรมนี ซึ่งยุโรปก็เตรียมตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าอเมริกัน หากมาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้จริง
  • ทางฝั่งเอเชีย Trump ตัดสินใจเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 20% โดยเลือกประกาศในช่วงที่จีนมีประชุมทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดของปี และรัฐบาลจีนก็ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้า 10-15% เฉพาะสินค้าเกษตรของสหรัฐเท่านั้น ซึ่งเป็นสัญญาณว่าจีนต้องการหลีกเลี่ยงการทำสงครามการค้าเต็มรูปแบบ

Key Takeaway

การตอบโต้ไปมาที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน อาจเป็นสัญญาณว่าสงครามการค้าครั้งใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยนักเศรษฐศาสตร์หลายรายได้ออกมาเตือนว่า มาตรการที่กว้างขวางขนาดนี้อาจส่งผลกระทบต่อ Supply Chain และทำให้ราคาสินค้าทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งสร้างความกังวลให้ตลาด แต่นักลงทุนต้องไม่ลืมว่าความผันผวนของตลาดเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้นเท่านั้น

ปัจจุบัน ข้อมูลทางเศรษฐกิจยังบ่งชี้ถึงการชะลอตัวมากกว่าการล่มสลายของเศรษฐกิจ เพราะแม้ Sentiment ของนักลงทุนจะดูสั่นคลอน แต่ตัวชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจยังไม่ได้แสดงให้เห็นผลกระทบจากมาตรการเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในปัจจุบันจะไม่ส่งผลดีต่อการเติบโต และยังมีความไม่แน่นอนรออยู่อีกมากมาย

ความขัดแย้งทางการค้าระดับโลกครั้งนี้แสดงให้เห็นความสำคัญของการกระจายการลงทุนที่ดี เพราะเมื่อบางตลาดได้รับผลกระทบ ตลาดอื่นๆ ก็อาจเข้ามาช่วยทดแทนได้ ตัวอย่างเช่น พอร์ต General Investing ของเราที่ได้รับประโยชน์จากการมีสัดส่วนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ซึ่งปรับตัวขึ้นถึง 11% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลง 1.5% YTD (ณ วันที่ 4 มี.ค.) แต่ตลาดหุ้นโลก (ไม่รวมสหรัฐ) ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 6% ดังนั้น หากคุณลงทุนในพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดี คุณจะสามารถลดความเสี่ยงของการกระจุกตัว และพร้อมคว้าโอกาสในการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว

💡 Investors’ Corner: ความกลัว ความโลภ และสิ่งที่คุณสามารถทำได้

สถานการณ์ล่าสุดในตลาดกำลังสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนอีกครั้ง โดยอัตราดอกเบี้ยที่ ‘Higher for Longer’ ปัญหาเงินเฟ้อสูงที่ยังยืดเยื้อ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่สั่นคลอน ล้วนเป็นปัจจัยกดดัน Sentiment ของนักลงทุน นอกจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนเรื่องภาษีนำเข้าและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรป จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นความผันผวนเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความกังวลเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ โดย Benjamin Graham บิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (VI) เคยกล่าวไว้ว่า “ตลาดหุ้นเหมือนเครื่องลงคะแนนเสียงในระยะสั้น แต่เป็นเครื่องชั่งน้ำหนักในระยะยาว” หมายความว่า ราคาหุ้นในแต่ละวันจะสะท้อนอารมณ์ของนักลงทุน แต่ผลตอบแทนในระยะยาวจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการของธุรกิจจริงๆ

ดัชนี Fear and Greed ของ CNN สะท้อนความรู้สึกของนักลงทุนได้อย่างชัดเจน โดยในสัปดาห์นี้ เข็มชี้วัดของดัชนีได้ขยับเข้าสู่โซน ‘กลัวสุดขีด’ ซึ่งตามสถิติแล้ว มักเป็นสัญญาณว่าแรงขายอาจใกล้หมดแล้ว ซึ่งหากเราย้อนกลับไปในปี 2024 ดัชนี Fear and Greed ได้เข้าสู่โซนกลัวสุดขีดสองครั้ง และทั้งสองครั้งก็ตามมาด้วยการฟื้นตัวของตลาด

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมกลยุทธ์ Dollar-Cost Averaging (DCA) ถึงมีประโยชน์ เพราะการลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่ากันเป็นประจำโดยไม่คำนึงถึงสภาวะตลาด จะช่วยให้คุณซื้อหุ้นได้มากขึ้นเมื่อตลาดปรับตัวลง และซื้อได้น้อยลงเมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น ให้ลองนึกถึงการซื้อสินค้าลดราคาได้อย่างสบายใจ แม้ว่าการเข้าซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาดปรับตัวลง อาจฟังดูขัดแย้งกับสัญชาตญาณของมนุษย์ แต่วิธีนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและเพิ่มโอกาสทำกำไรเมื่อตลาดกลับมาสดใสอีกครั้ง

นอกจากนี้ กลยุทธ์ DCA ยังเป็นเหมือนเกราะป้องกันทางจิตวิทยาที่จะช่วยควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งมักจะเทขายหุ้นเมื่อเกิดวิกฤติ หรือไล่ซื้อสินทรัพย์ขณะที่ราคากำลังพุ่งสูงขึ้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว การลงทุนไม่ใช่แค่การพยายามหลีกเลี่ยงความผันผวน แต่อาจเป็นการเลือกใช้กลยุทธ์ที่สามารถก้าวข้ามความผันผวนในระยะสั้น เพื่อไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จในระยะยาว

เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize


แชร์บทความนี้

  • linkedin
  • facebook
  • twitter
  • email

อยากอ่านเพิ่ม?

เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์ จากบทความของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับผู้คนอีกหลายแสนคนที่ต้องการวางแผนการเงินและการลงทุนอย่างยั่งยืนด้วยการสมัครรับบทความและบทวิเคราะห์ของเราที่จะส่งตรงถึงอีเมลของคุณ