Weekly Buzz: ธุรกิจท่องเที่ยวเตรียมพุ่งทะยาน
กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวที่กำลังติดลมบนอยู่ในเวลานี้จะยิ่งคึกคักมากขึ้นอีก เห็นได้จากสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในตอนนี้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่อัดอั้นจากช่วง COVID-19 แต่ข้อมูลล่าสุดของ World Travel & Tourism Council แสดงให้เห็นว่าการฟื้นตัวครั้งนี้ไม่ใช่กระแสชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งเป็นไปได้ว่าธุรกิจท่องเที่ยวจะเป็นกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนอนาคตของเศรษฐกิจโลกในระยะยาว
เกิดอะไรขึ้นในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว?
คาดกันว่า กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวจะเติบโตเร็วกว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวมมากถึง 2 เท่า โดยอัตราเติบโตที่สูงนี้จะได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากประเทศจีน แม้ว่าในปัจจุบัน นักท่องเที่ยวจีนยังไม่ได้ออกจากประเทศมากนัก แต่ภายในปี 2024 คาดกันว่าพวกเขาจะกลับมาเที่ยวเต็มกำลังอีกครั้ง
ทั้งนี้ ปัจจุบันสหรัฐเป็นประเทศอันดับ 1 ที่สร้างรายได้ให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยว แต่จีนกำลังอยู่ในเส้นทางที่จะชิงตำแหน่งดังกล่าว โดยในทศวรรษหน้า คาดกันว่านักท่องเที่ยวจีนจะสร้างเม็ดเงินให้กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แซงนักท่องเที่ยวอเมริกันแชมป์เก่าที่ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ที่ผ่านมา มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดทำให้ผู้บริโภคจีนไม่สามารถใช้จ่ายได้อย่างเต็มที่ ซึ่งหลังการยกเลิกมาตรการดังกล่าว เศรษฐกิจภายในประเทศจึงได้รับประโยชน์ก่อน แต่ล่าสุดรัฐบาลจีนได้ยกเลิกคำสั่งห้ามกรุ๊ปทัวร์ไปเยือนบางประเทศ เช่น สหรัฐและญี่ปุ่น ดังนั้นกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวจึงอาจกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในระยะข้างหน้า
เรื่องนี้ส่งผลต่อนักลงทุนอย่างไร?
The World Travel & Tourism Council ประเมินว่าธุรกิจท่องเที่ยวจะยิ่งเติบโตมากกว่าช่วงก่อน COVID-19 จากมูลค่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จะขึ้นไปถึง 15.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2033 หรือคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 8 ของเศรษฐกิจโลก และด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลนี้ ในช่วง 10 ปีข้างหน้ากลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวจะกลายเป็นผู้เล่นหลักในตลาดแรงงานที่อาจสร้างตำแหน่งงานถึง 1 ใน 9 จากงานทั้งหมดทั่วโลก
ยิ่งไปกว่านั้น การท่องเที่ยวไม่ได้สร้างรายได้ให้แค่โรงแรมหรือสายการบินเท่านั้น แต่อาจยังเป็นแรงขับเคลื่อนให้กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย เช่น สินค้า Luxury และบริการต่างๆ ซึ่งหากคุณมีพอร์ตที่กระจายการลงทุนในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ (อย่าง General Investing 😎) คุณก็จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตนี้เช่นกัน
📰 ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ: ยุโรปเริ่มรัดเข็มขัด
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะวัดปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ หรือ Money Supply (อ่านเพิ่มเติมได้ใน ศัพท์โลกการลงทุน) ของกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโร (Eurozone) อยู่เป็นประจำ โดยข้อมูลล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า Money Supply ในระบบลดลง 0.4% เมื่อเทียบกับเดือน ก.ค. ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2010
ปกติแล้ว Money Supply ที่ลดลง หมายความว่า ผู้บริโภคมีการกู้ยืมเงินลดลง โดยการลดลงในขณะนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงอย่างในปัจจุบันทำให้ต้นทุนในการกู้ยืมเพิ่มขึ้นมาก และเมื่อคนยุโรปมีเงินในกระเป๋าน้อยลงจึงใช้จ่ายน้อยลงตามไปด้วย
ดังนั้น ร้านค้าและธุรกิจต่างๆ จึงมีแนวโน้มที่จะลดราคาสินค้าและบริการลงเพื่อดึงดูดลูกค้า ซึ่งอาจไม่ใช่ผลเสียเสมอไป เนื่องจาก ECB ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อชะลอความร้อนแรงของภาวะเงินเฟ้อ เหตุการณ์นี้จึงอาจเป็นสัญญาณว่าแผนของ ECB เริ่มได้ผลแล้ว
เนื้อหาในส่วนนี้เขียนขึ้นร่วมกับ Finimize
🎓ศัพท์โลกการลงทุน: Money Supply
Money Supply หรือ ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ใช่แค่ธนบัตรหรือเหรียญเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเงินในรูปแบบของเงินฝากและเงินกู้ด้วยเช่นกัน โดยนักเศรษฐศาสตร์ต่างให้ความสำคัญกับ Money Supply เนื่องจากจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจ หากมีเงินสดในระบบมากเกินไป ข้าวของก็อาจมีราคาแพงขึ้น แต่หากมีน้อยเกินไป การเติบโตทางเศรษฐกิจก็อาจชะลอตัว
✨ ผลการดำเนินงาน H1/2023 และ Audiobook: H2 Market Outlook ของเรา
ผ่านครึ่งทางของปี 2023 ซึ่งเต็มไปด้วยความตื่นเต้น นับตั้งแต่วิกฤติในกลุ่มธุรกิจธนาคารสหรัฐและยุโรป ไปจนถึงกระแสเทคโนโลยี AI ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เราผ่านเรื่องราวมามากมายในปีนี้ แต่คุณไม่ต้องกังวล เพราะเราได้สรุปไว้แล้วในบทความด้านล่างนี้:
🎧 H2 Market Outlook เราวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นและถอยหลังกลับมามองภาพใหญ่ในระยะยาว เพื่อให้เห็นว่าทำไมเราถึงยังเห็นว่ามีแสงสว่างในอนาคตรออยู่
บทความสรุปผลการดำเนินงาน H1/2023 และเราขี่หลัง (ตลาด) กระทิงมาอย่างปลอดภัยได้อย่างไร