ETF คืออะไร?

เคยได้ยินคำว่า ‘ETF’ ไหม? หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นเคย แต่บอกเลยว่า ETF หรือ Exchange-Traded Fund กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากทั้งในหมู่นักลงทุนมือเก๋าและมือใหม่ เพราะ ETF คือ กองทุนดัชนีที่ซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์ ค่าธรรมเนียมต่ำ และกระจายการลงทุนได้ดี ทำให้ ETF เป็นผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูงด้วยการผสมผสานจุดเด่นของกองทุนรวมและหุ้นเข้าด้วยกัน 

ETF คืออะไร?

ETF เป็นกองทุนแต่ซื้อ-ขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้น โดยกองทุน ETF จะลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์เพื่อให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีที่อ้างอิงมากที่สุด เช่น ETF ที่อ้างอิงดัชนี S&P 500 ก็จะลงทุนในหลักทรัพย์ตามสัดส่วนในดัชนี S&P 500 ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ETF จะเป็นกองทุนแบบ Passive ซึ่งเน้นการบริหารพอร์ตเพื่อให้มีหลักทรัพย์ตามสัดส่วนของดัชนีที่อ้างอิง โดยไม่เน้นการเลือกหลักทรัพย์รายตัวและไม่จับจังหวะซื้อ-ขาย

4 ข้อดีของ ETF

• ซื้อ-ขายสะดวก: เนื่องจาก ETF มีการจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ นักลงทุนจึงสามารถทำการซื้อ-ขายได้ตลอดเวลาทำการเหมือนกับหุ้นทั่วไป ทำให้ ETF มีความสะดวกรวดเร็วและสภาพคล่องสูง ต่างจากกองทุนรวมที่จะซื้อ-ขายได้วันละครั้งเท่านั้น

• เข้าถึงได้ง่าย: ETF ช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ที่หลากหลาย เพราะถ้ามีดัชนีที่ติดตามราคาของสินทรัพย์ใดๆ ก็ตาม ก็มักจะมี ETF ที่ลงทุนตามดัชนีนั้นด้วย ทั้งดัชนีหุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ และสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ นอกจากนี้ ยังมี ETF ที่ลงทุนตามดัชนีกลุ่มธุรกิจต่างๆ เช่น เทคโนโลยี, Healthcare, คลาวด์คอมพิวติ้ง หรือ ETF ที่ลงทุนตามดัชนีภูมิภาคต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น, อินเดีย, สหรัฐ ด้วยเช่นกัน

• มีการกระจายการลงทุนที่ดี: ETF จะลงทุนในหลากหลายหลักทรัพย์ตามสัดส่วนของดัชนีอ้างอิง ถ้าราคาหลักทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งปรับตัวลดลง ผลกระทบก็จะไม่มากนักเพราะว่ายังมีหลักทรัพย์ตัวอื่นมาคอยเฉลี่ยให้ความผันผวนลดลง ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลย้อนหลัง พบว่าพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดีมักจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว

• ค่าธรรมเนียมต่ำ: ETF มีค่าธรรมเนียมการจัดการที่ต่ำราว 0.15%-0.25% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่ากองทุนรวมในไทยที่ลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งมีค่าธรรมเนียมโดยรวมประมาณ 1.5-3.0% (รวมค่าธรรมเนียมของ Master Fund) เพราะ ETF จะบริหารพอร์ตเพื่อให้มีหลักทรัพย์ตามสัดส่วนของดัชนีที่อ้างอิง จึงไม่จำเป็นต้องมีผู้จัดการกองทุนคอยตัดสินใจซื้อ-ขาย ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายการจัดการให้ต่ำกว่ากองทุนรวม

ข้อดีเหล่านี้ส่งผลให้ตลาด ETF เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยงานวิจัยล่าสุดของ ETFGI พบว่า ตลาด ETF ทั่วโลกเมื่อสิ้นสุดเดือน พ.ค. 2024 นั้นมีมูลค่าสูงถึง 12.89 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 466 ล้านล้านบาท 

แม้แต่นักลงทุนระดับตำนานอย่าง Warren Buffett ยังเคยให้คำแนะนำหลักการลงทุนแบบ ‘90/10’ ผ่านจดหมายถึงผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway ว่า ในวันที่เขาจากโลกนี้ไป สิ่งที่เขาต้องการให้ผู้ดูแลทรัพย์สินบริหารจัดการทรัพย์สินสำหรับภรรยาของเขา คือ 90% ลงทุนในกองทุนดัชนี S&P 500 และอีก 10% ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น

ด้วยศักยภาพอันโดดเด่นนี้ ทำให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำอย่าง StashAway เลือกใช้ ETF เป็นเครื่องมือในการสร้างพอร์ตการลงทุนทั้งหมด โดยทุกพอร์ตของ StashAway ที่เราบริหารให้ลูกค้า จะประกอบไปด้วย ETF คุณภาพสูงที่ผ่านการคัดสรรจากทีมงานที่มีประสบการณ์ยาวนานหลายสิบปีในแวดวงการเงินและการลงทุนระดับโลก

ตัวอย่าง ETF ที่ StashAway ใช้ในการบริหารพอร์ต General Investing ที่ความเสี่ยง StashAway Risk Index (SRI) 22%

ETF หุ้นสหรัฐ

ETF หุ้นโลก

ETF ตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน

ETF ทองคำและสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสด

ดู ETF ทั้งหมดที่ StashAway เลือกลงทุนได้ที่นี่